‘สหรัฐ - จีน’ พักรบสะเทือนไทย จับตาออร์เดอร์ไหลเข้าจีน

สหรัฐ-จีน” พักรบหนุนมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ 2 ประเทศ “รัฐบาลไทย” เกาะติดเจรจา “พิชัย” เผยส่ง proposal ให้สหรัฐ หวังได้ข่าวดีนัดเจรจา นายกฯ ลุ้นไทยได้คิวเจรจาก่อนครบ 90 วัน สรท.มองดีลสหรัฐจีนแค่ชั่วคราว คาดสหรัฐสต๊อกสินค้าลดลง หวั่นส่งออกครึ่งปีหลังทรุด ส.อ.ท.จับตาออร์เดอร์ไหลเข้าจีน
KEY
POINTS
key Point
- “สหรัฐ-จีน” พักรบชั่วคราวหนุนมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศ
- ไทยได้จัดทำข้อเสนอ (Proposal) 5-6 ข้อ ให้สหรัฐ
- จับตาออร์เดอร์ไหลเข้าจีน-รัฐบาลยื่นข้อเสนอลุ้นนัดเจรจา
- สรท.ชี้สหรัฐสต๊อกสินค้าลดลง หวั่นส่งออกครึ่งปีหลังทรุด
- ส.อ.ท.มอง ข้อตกลงชั่วคราวของจีน และสหรัฐสะท้อนบรรยากาศดีที่จะทำให้ 2 ประเทศมีทางลง
ผลการบรรลุข้อตกลงลดภาษีชั่วคราว 90 วัน ระหว่างสหรัฐกับจีน หลังจากเจรจาสำเร็จเบื้องต้นที่สวิตเซอร์แลนด์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างการตอบรับให้นักลงทุนทั่วโลกทำให้สินทรัพย์สหรัฐทั้งตลาดหุ้น และค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 12 พ.ค.2568
ข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลวันที่ 14 พ.ค.2568 โดยสินค้านำเข้าจากจีนที่มีอัตราภาษี 145% จะลดเหลือ 30% ส่วนสินค้านำเข้าจากสหรัฐที่มีอัตราภาษี 125% จะลดเหลือ 10%
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ออกบทวิเคราะห์ล่าสุด ปรับลดคาดการณ์ความเสี่ยงที่สหรัฐอาจเข้าสู่ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” ลงเหลือ 35% จากเดิมเคยให้ไว้ที่ 45% และเป็นธนาคารลงทุนขนาดใหญ่รายแรกที่ปรับลดความเสี่ยงนี้ลง
โกลด์แมน แซคส์ปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีสหรัฐปี 2568 เป็น 1% จากเดิม 0.5% หลังจากสหรัฐ และจีนลดเผชิญหน้าทางการค้า และเพิ่มเป้าดัชนี S&P 500 ณ สิ้นปีนี้ เป็น 6,100 จุด จากเดิมให้ไว้ที่ 5,900 จุด โดยอ้างความเสี่ยงภาษี และความเสี่ยงของเศรษฐกิจถดถอยที่ลดลง
การมีมุมมองต่อเศรษฐกิจสหรัฐในเชิงบวกมากขึ้นนี้เอง ทำให้โกลด์แมน แซคส์ปรับคาดการณ์ใหม่ว่าโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยปี 2568 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ อาจมีขึ้นช้ากว่าที่คาดไว้ โดยคาดว่าอาจเป็นเดือน ธ.ค.นี้ จากเดิมเคยคาดไว้เดือนก.ค.นี้ จากนั้นจึงคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในเดือนมี.ค.2569 และเดือนมิ.ย.2569
ธนาคารยูบีเอส เพิ่มคาดการณ์จีดีพีจีนปี 2568 เป็น 3.7-4% จากเดิมคาดไว้กรณีฐานที่ 3.4% เพราะการผ่อนคลายความตึงเครียดจากสงครามการค้าอาจส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนได้รับผลกระทบเล็กน้อยหรือน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้มาก
ขณะที่ธนาคารมอร์แกน สแตนลีย์ เพิ่มประมาณการจีดีพีรายไตรมาสระยะสั้นของจีน เพราะบริษัทต่างๆ อาจเร่งส่งออกสินค้าเพื่อฉวยโอกาสจากอัตราภาษีที่ลดลงชั่วคราว โดยคาดว่าจีดีพีไตรมาส 2 ของจีนอาจสูงกว่าประมาณการปัจจุบันที่ 4.5% และคาดว่าไตรมาส 3 จะฟื้นตัวสูงกว่า 4% ด้านธนาคารเอเอ็นแซดเพิ่มคาดการณ์จีดีพีจีนปีนี้สูงกว่า 4.2% ขณะที่ธนาคารนาติซิส เพิ่มเป็น 4.5%
รัฐบาลเกาะติดเจรจาสหรัฐ-จีน
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลติดตามสถานการณ์การเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐ-จีน พบเป็นไปตามที่คาด และได้ติดตามการเจรจาของญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ที่ซับซ้อนกว่าไทยมาก
ทั้งนี้ ไทยได้จัดทำข้อเสนอ (Proposal) 5-6 ข้อ ให้สหรัฐเมื่อ 4-5 วันที่ผ่านมา แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.ส่งให้นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ 2.ส่งให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR)
“ตอนนี้มีเจ้าหน้าที่ไปคุยกับกลุ่มต่างๆ เช่น ผู้ค้าหรือสมาคมการค้าของสหรัฐ โดยจะหารือให้รู้ว่าต้องการซื้อสินค้าอย่างไร ไทยจะลงทุนอย่างไร โดยกระบวนการนี้จะตกลงระดับคณะทำงานก่อนเพื่อให้มั่นใจในหลักการแล้วจากนั้นจะได้จบโดยเร็ว” นายพิชัย กล่าว
ส่วนการเจรจากับสหรัฐจะได้รับการตอบรับภายใน 1-2 สัปดาห์นี้หรือไม่ นายพิชัย ยอมรับว่า ถ้าล่าช้าก็รู้สึกตื่นเต้นว่าทำไมสหรัฐไม่นัดเจรจากับไทยเสียที แต่เห็นรูปแบบการเจรจาเบื้องต้นเป็นไปตามแนวทางที่บริหารจัดการได้ และอีกไม่นานคงได้หารือเพราะสหรัฐรับข้อเสนอไปแล้วคงมีคำตอบกลับมาอีกไม่นาน
สำหรับข้อเสนอประกอบด้วยสาระสำคัญ 5 ข้อ ซึ่งมีเป้าหมายลดการเกินดุลกับสหรัฐให้ได้ 50% ภายใน 5 ปี และส่งเสริมความร่วมมือเป็นพันธมิตรระดับยุทธศาสตร์มากขึ้นในอนาคต ได้แก่
1.เสริมความร่วมมือธุรกิจอาหารแปรรูปไทย และสหรัฐ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ด้วยการใช้จุดแข็ง 2 ประเทศร่วมกัน โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพื่อเป็นวัตถุดิบแปรรูป และส่งออกไปตลาดโลก และหารือร่วมภาคเกษตรของสหรัฐที่เป็นฐานเสียงสำคัญทางการเมืองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
2.เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ โดยไทยมีแผนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็น อาทิ พลังงาน (น้ำมันดิบ, LNG, อีเทน), เครื่องบิน และชิ้นส่วน, อาวุธยุทโธปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เกษตรอย่างข้าวโพด ถั่วเหลือง และเนื้อวัว เพื่อกระชับความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ และตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจในประเทศ
3.เปิดตลาด และลดอุปสรรคทางการค้า การลดภาษีนำเข้าภายใต้ระบบ MFN จำนวน 11,000 รายการ ลง 14% รวมถึงการลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือ อีกทั้งลดโควตา และข้อจำกัดพร้อมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐ เช่น เชอร์รี่ แอปเปิ้ล ข้าวสาลี ข้าวโพด และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์
4.บังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้าเคร่งครัดผ่านการบังคับใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิสินค้า “Made in Thailand” โดยสินค้าจากประเทศที่ 3 ส่งออกผ่านไทยไปสหรัฐ ซึ่งจะเพิ่มการเฝ้าระวังเพื่อรักษาภาพลักษณ์สินค้าไทยในตลาดสหรัฐ
5.ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐ ภาครัฐสนับสนุนการขยายการลงทุนของเอกชนไทยในสหรัฐ ภายใน 4 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เช่น โครงการลงทุน LNG ในรัฐอลาสก้า และการลงทุนฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ ปัจจุบันเอกชนไทยลงทุนในสหรัฐ 70 แห่ง ใน 20 มลรัฐ สร้างงานมากกว่า 16,000 ตำแหน่ง มูลค่าการลงทุน 16,000 ล้านดอลลาร์
ลุ้นสหรัฐรับนัดเจรจาไทย
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจาระหว่างสหรัฐ และจีนที่เหมือนจีนจะแซงหน้า ว่า ใช้คำว่าจีนแซงหน้าไม่ได้ เราคิดว่าคลี่คลายเรื่องนี้มากกว่า ตลาดหุ้นก็บวก และที่เราพูดแต่ต้นว่ารอเวลาที่เหมาะสมคือ การนัดเข้าไปคุย
ทั้งนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมาไทยส่ง Proposals ไปเรียบร้อยแล้วให้สหรัฐ และมีตัวแทนหลายภาคส่วนอย่าง USTR หรือระดับรัฐมนตรีก็หารือกันนอกรอบ
ส่วนที่ศาลอาญาไม่อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปกาตาร์เพื่อเจรจาสหรัฐ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เสียดายโอกาสที่จะพูดคุยกับคอนเน็กชันที่ค่อนข้างใกล้กับประธานาธิบดี หรืออาจคุยกับประธานาธิบดี โดยถ้ามีโอกาสคุยกันตรงๆ จะง่ายกว่า ซึ่งนายทักษิณกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ รู้จักกันอยู่แล้ว
สรท.คาดสหรัฐสต๊อกสินค้าลดลง
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า การที่สหรัฐ และจีนบรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราวเป็นการทอดเวลาให้เจรจากัน ซึ่งท่าทีจีนค่อนข้างแข็งทำสหรัฐไม่กล้าใช้ยาแรง ดังนั้นการถอยคนละก้าวเป็นทางออกที่ดี
นายธนากร กล่าวว่า การปิดดีลครั้งนี้ทำให้ความตึงเครียดทางการค้าผ่อนคลายลง เพราะยักษ์ใหญ่มหาอำนาจคุยกันได้ ส่งผลต่อจิตวิทยาการค้า อาจส่งผลให้การเก็บสต๊อกสินค้าของผู้นำเข้าลดลง
ดังนั้นครึ่งปีหลังจะทำให้การส่งออกไทยไปสหรัฐลดลง แม้ว่าการส่งออกไทยสูงช่วงครึ่งปีแรกแต่ครึ่งปีหลังไม่เหมือนครึ่งปีแรกประกอบกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกไม่ฟื้นเต็มที่ ดังนั้นไทยต้องเตรียมรับมือวางแผนนโยบายการค้าระยะยาวจริงจัง เพราะสหรัฐส่งสัญญาณแล้วจากการปรับขึ้นภาษี
“ปัญหาเฉพาะหน้าก็แก้กันไป แต่ระยะยาวต้องมีนโยบายการค้าซึ่งจะได้พบ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อหารือคาดว่าเป็นสัปดาห์หน้า” นายธนากร กล่าว
ทั้งนี้ อาเซียนควรขอให้สหรัฐชะลอขึ้นภาษีกลุ่มอาเซียนไว้ที่ 10% และระหว่างนี้ให้แต่ละประเทศวางแผนเจรจาสหรัฐ รวมทั้งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียนกับสหรัฐ ซึ่งจะเป็นโอกาสให้สินค้าสหรัฐมาทำตลาดอาเซียนมากขึ้นเหมือนสินค้าจีน ขณะที่อาเซียนส่งออกสินค้าลักษณะเดียวกันไปสหรัฐ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ถือเป็นคู่แข่งของไทย โดยสหรัฐยังไม่เปิดเจรจากับอาเซียนเลย
ส.อ.ท.จับตาออร์เดอร์ไหลเข้าจีน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ข้อตกลงชั่วคราวของจีน และสหรัฐ สะท้อนบรรยากาศดีที่จะทำให้ 2 ประเทศมีทางลง เพราะการที่สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนถึง 145% ถือว่าสูงสุดในโลก และจีนตอบโต้สหรัฐด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าถึง 125%
ทั้งนี้ จากการตอบโต้ดังกล่าวทำให้ประชาชนสหรัฐได้รับผลกระทบสินค้าขาดแคลน และประธานาธิบดีสหรัฐถูกกดดันจากห้างหรือผู้นำเข้าขอเข้าพบผู้นำประเทศ และให้ข้อมูลว่าอีกไม่กี่สัปดาห์สินค้าบางรายการอาจขาดแคลนทำให้ประชาชนเดือดร้อน
“แม้เป็นการชั่วคราวแต่เป็นสัญญาณดีว่าทั้ง 2 ประเทศได้พูดคุยกันถึง 2 วัน และมีข้อตกลงเป็นสัญญาณบวก แต่กรอบเวลา 90 วัน ยังเป็นเงื่อนไขที่ทั้ง 2 ฝั่งต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพราะสหรัฐทิ้งประเด็นการเปิดตลาดให้สหรัฐเพิ่มขึ้น เช่น กูเกิลหรือโซเชียลมีเดีย"
รวมถึงประเทศที่มีคิวเจรจาทั้งเวียดนาม ญี่ปุ่น และอินเดียต่างต้องทำการบ้าน แม้ไทยยังต้องรอคิว และโดนเก็บภาษี 10% จึงยังดีกว่าจีน แต่อีกมุมการที่สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าจีน 30% เชื่อว่าจีนมีขีดความสามารถการส่งออกเพราะบริหารต้นทุนได้ดี เช่น การส่งออกยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีนที่ถูกสหรัฐ และยุโรปขึ้นภาษีแต่จีนยังขาย EV ได้ เพราะจีนมีความสามารถลดต้นทุน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







