ส.อ.ท. แนะรัฐอัดเงินตรงจุด เหตุท่องเที่ยวทรุด ฉุดร้านอาหารเจ๊ง

"ส.อ.ท." แนะรัฐบาลอัดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจให้ตรงจุด เพื่อฟื้นกำลังซื้อในประเทศ เหตุอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทุรด หวั่นฉุดกลุ่มร้านอาหารปิดกิจการ
KEY
POINTS
- การปรับเปลี่ยนรายละเอียดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแทนการแจกเงิน 10,000 บาท ซึ่งเป็นนโยบายเดิมของรัฐบาลมีข้อเสนอจากหน่วยงานต่างๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เห็นด้วยกับการนำเงินมาแจกในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้
- ส.อ.ท.มองรัฐบาลปรับแผนนำเงินที่เคยจะแจกเฟส 3 มาปรับเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์สภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ตามหลักการบริหารงานประเทศตามบริบทเศรษฐกิจ
- การอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ทั่วโลกทำกันอยู่แล้ว แต่ปัจจัยแต่ละประเทศอาจมีความแตกต่าง ซึ่งโครงสร้างเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะเศรษฐกิจใต้ดินมีจำนวนเกือบเท่าเศรษฐกิจบนดิน
การปรับเปลี่ยนรายละเอียดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแทนการแจกเงิน 10,000 บาท หรือโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นนโยบายเดิมของรัฐบาลซึ่งได้มีการแจกจ่ายเงินเข้าระบบไปแล้วถึง 2 ครั้ง อีกทั้ง ได้มีข้อเสนอจากหน่วยงานต่างๆ ก่อนหน้านี้ เช่น สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อย่างต่อเนื่องถึงความไม่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ สศช.มีข้อเสนอแนะว่า รัฐบาลควรนำเม็ดเงินสำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ที่เหลืออยู่ประมาณ 1.57 แสนล้านบาท มาทำโครงการที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจจากฐานรากได้ เช่น ทำถนนขนาดเล็กเชื่อมโยงเส้นทางหลัก การลงทุนในแหล่งน้ำขนาดเล็ก กระจายการลงทุนไปทั่วประเทศ
ในขณะที่ ธปท.มีจุดยืนไม่เห็นด้วยกับนโยบายแจกเงินตั้งแต่แรก โดยมีหนังสือตอบความเห็นของกระทรวงการคลังในการออก พ.ร.บ.กู้เงินเพื่อทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตในช่วงเริ่มต้นของรัฐบาลวงเงิน 5 แสนล้านบาท ธปท.ให้ความเห็นว่าควรช่วยเหลือพุ่งเป้า หากจะเป็นการแจกเงินควรแจกให้กลุ่มเปราะบางที่จำเป็นต้องได้เงินจริงๆ
ขณะที่เอกชน โดยนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การที่รัฐบาลปรับแผนการเจกเงิน 1 หมื่นบาทเฟส 3 นั้น เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งไทยและต่างประเทศ สถาบันการเงิน และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) อันประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ และสมาคมธนาคารไทย ต่างเห็นภาพเดียวกันว่าไทยยังติดปัญหาหนีครัวเรือน และพึ่งพาการส่งออก อีกทั้ง การเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ จะเหลือภาษีเท่าไหร่ แม้ว่าสหรัฐฯ กับจีนทดลองลดภาษีเป็นเวลา 90 วันระหว่างกันนั้น เป็นแค่การพักยกชั่วคราว
ดังนั้น รัฐบาลคงต้องปรับแผนนำเงินที่เคยจะแจกเฟส 3 มาปรับเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์สภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ถือเป็นเรื่องธรรมดาของนักบริหารที่ต้องวางยุทธศาสตร์ ดังนั้น สิ่งที่ภาครัฐเคยบอกจะต้องสำรองเงินไว้ 5 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนหน้านั้น จากเดิมที่แจกเงินก็เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกช่องทางหนึ่งในระยะสั้น ซึ่งการอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ทั่วโลกทำกันอยู่แล้ว แต่ปัจจัยแต่ละประเทศอาจมีความแตกต่าง ซึ่งโครงสร้างเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะเศรษฐกิจใต้ดินมีจำนวนเกือบเท่าเศรษฐกิจบนดินจึงเป็นโจทย์ที่ต้องปรับโครงสร้างที่ต้องใช้เวลา
ทั้งนี้เงิน 1.5 แสนล้านบาท รัฐบาลเคยจะนำเงิน 5 แสนล้านบาท มารองรับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการค้าโลกที่อาจฉลอตัวลง ที่ส่งผลกระทบภาคส่งออกสร้างความยังไม่แน่นอน ดังนั้น สิ่งที่เอกชนต้องการคือ 1. มาตรการที่จะเพิ่มกำลังซื้อโดยการสร้างงาน รัฐบาลอาจมีหลากหลายตัว เพื่อเพิ่มรายได้ให้ประชาชนจากแนวโน้มโรงงานที่ได้รับผลกระทบด้สนซัพพลายเชน และภาษีที่ดิสรัปชั่นหลายอุตสาหกรรมต้องเลิกจ้างงานและปิดกิจการ
"ต่างประเทศ แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น นิสสัน หรือกูเกิลก็มีการเลิกจ้างพนักงานเช่นกัน ดังนั้น เงิน 1.5 แสนล้านบาทอาจจะไม่พอ รัฐบาลจะต้องหาเพิ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงฟื้นภาคเกษตรกรรมที่เป็นพื้นฐานประเทศ รวมถึงภาคท่องเที่ยวที่นักท่องเทียวโดยเฉพาะจีนที่ลดลง กระทบต่อร้านค้าในไทยด้วย"
ดังนั้น ต้องระมัดระวังที่เป็นปัญหาใหญ่ไม่ทำให้สินค้าภายนอกราคาถูกเข้ามาถล่มผู้ประกอบการไทย ตรวจเช็คการชำระเงินออนไลน์ ทำให้เงินจากร้านค้าปลีกไหลออกนอกประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรตรวจเช็คช่องทางอย่างเข้มงวดกว่าเดิม รัฐบาลต้องเพิ่มกำลังซื้อ สร้างรายได้ เกิดการจ้างงาน การบริหหารจัดการน้ำ โครงสร้างพื้นฐาน จะทำให้เกษตรที่เป็นคนจำนวนมากเป็นภาคที่ได้รับผลกระทบ พร้อมสนับสนุนกลุ่มผู้ประกอบการ SME เร่งแก้หนี้และให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนไปต่อได้ ถือเป็นปัญหาเดิมที่ไม่ว่าใครจะแก้ไขได้ง่ายในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
"เงินที่จะมาอัดเข้าระบบเศรษฐกิจหลักๆ จะต้องมาสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับแรงงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศ เพราะช่วงนี้เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนลดลง อาจจะส่งผลกระทบต่อร้านอาหารในไทยด้วย อีกทั้ง สิ่งสำคัญจะต้องเข้มงวดกับสินค้าราคมถูกที่ไหลทะลักเข้ามาในไทย จะยิ่งทำให้กำลังการผลิตอุตสาหกรรมที่ยังคงลดลงอาจจะกระทบยิ่งขึ้นกว่าเดิม ถือเป็นเรื่องเดิมๆ ที่เอกชนได้นำเสนอไปแล้วทั้งสิ้น"







