“ไทย”เร่งปรับสู่“ห่วงโซ่มูลค่าโลก” ส่งกำลังศก.โตเต็มศักยภาพ

หลังการประกาศอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างเป็นทางการโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่พบว่าปี 2024 ที่ผ่านมา
เศรษฐกิจไทยเติบโตเพียง 2.5% นั้น สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงว่าการหารายได้จะวิ่งตามรายจ่ายและสถานภาพหนี้ของประเทศได้ทันหรือไม่ และเงื่อนไขในอนาคตที่เต็มไปด้วยสิ่งท้าทายทั้งภายในและภายนอกประเทศอาจทำให้เศรษฐกิจไทยไม่ต่างอะไรกับเสือลำบาก ไม่ตายแต่ก็ล่าเหยื่อได้ยากเต็มที
เมื่อเร็วๆนี้ คณะเศรษฐศาตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับธนาคารโลกประจำประเทศไทย จัดสัมนา “เศรษฐกิจไทย – พร้อมรับ ปรับตัว แสวงหาโอกาสท่ามกลางโลกผันผวน” ในโอกาสสัมมนาทางวิชาการประจำปี ครั้งที่ 10
ดร.เกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกสำนักงานประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ “การเติบโตของเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก” ว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจปัจจุบันถือว่ามีความไม่แน่นอนสูงสุดในรอบ 10 ปี โดยคาดการณ์ว่าจีดีพีประเทศไทย ในปี 2025 จะเติบโตที่ 2.9 % ซึ่งดีกว่าในปี 2567 แต่หากเทียบกับเพื่อนบ้านในอาเซียนหากไทยจะเป็นประเทศกลุ่มรายได้สูง (high income)ของภูมิภาคก็จะพบว่าไทยมีจีดีพีในลำดับที่ต่ำสุด
เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ล่าช้า เพราะไทยพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากโควิดก่อนหน้านี้ และยังซ้ำเติมด้วยการใช้จ่ายภาคเอกชน (Private Consumption) ที่คิดเป็น 60%ของจีดีพีมีการชะลอตัวอันเนื่องมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งถือเป็นกรรมเก่าของเศรษฐกิจไทยและปัจจุบันผลของหนี้ครัวเรือนกำลังจะส่งผลกระทบอย่างชัดเจนมากขึ้น
คาดการณ์ว่า จีดีพีไทยปี 2025 จะขยายตัวที่ 2.9% และในปี 2026 จะขยายตัวที่ 2.7% โดยมีภาคการส่งออกและการใช้จ่ายภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ
ดร. เกียรติพงศ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ หากประเมินบริบทของโลกต่อนัยเศรษฐกิจไทย จะพบว่า หลังจากทั่วโลกมีการฟื้นตัวจากโควิดแล้ว ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ ทำให้ปัจจุบันเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะ Soft Landing หลังการลดการกระตุ้นเศรษฐกิจลงซึ่งสะท้อนจากภาวะเงินเฟ้อที่ชะลอตัว และนำไปสู่อัตราดอกเบี่้ยที่ชะลอตัวลงด้วยเช่นกัน โดย คาดการณ์เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ 2.7% ในช่วงปี 2568 และ 2569 ซึ่งถือว่าไม่ได้ดีมาก
หากหันมาพิจารณาเศรษฐกิจไทยซึ่งขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจโลกเป็นหลักนั้นจะพบว่า เศรษฐกิจโลกปัจจุบันมีการเคลื่อนตัวของเศรษฐกิจจากภาคอุตสาหกรรมและปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญทำให้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยทรัมป์ 2.0 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีการออกมาตรการทางการค้าต่างๆมาใช้แต่ในภาพรวมพบว่า ทิศทางนโยบายของทรัมป์ไม่ได้ต่างจากช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หรือ ตั้งแต่ช่วงทรัมป์ 1.0 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมาตรการทางการค้าต่างๆ เป็นเหมือนการบิดเบือนทางการค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทย
ดร.เกียรติพงศ์ กล่าวว่า ห่วงโซ่มูลค่าโลก(GVC) ในวัฎจักรอิเล็กทรอนิกส์นั้นไทยยังไม่ได้เข้าร่วมมากเท่าที่ควร ซึ่งพิจารณาจากสัดส่วนเงินลงทุนในต่างประเทศ (FDI) เพราะFDI จะนำมาซึ่งองค์ความรู้ นวัตกรรม และการพัฒนาคน ซึ่งประเทศไทยมี สต๊อกFDI สูงสุดในอาเซียน แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สัดส่วนการไหลเวียนของFDIของไทยถือว่าน้อยที่สุดในอาเซียน
"ช่วงปีที่ผ่านมาพบว่า ไทยมียอดสะสมคำขอลงทุนจากบีโอไอ(สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์จากกลุ่มทุนอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ไฟฟ้า หรือ อีวี ชี้ให้เห็นว่าภาคการผลิตของไทยกำลังมีการปรับตัวเชิงโครงสร้างที่จะเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าโลก”
ด้านการค้าของไทยเทียบกับสหรัฐ จะพบว่าไทยอยู่ลำดับที่ 13ที่ได้ดุลการค้าสหรัฐ โดยลำดับที่ 1 คือจีน เม็กซิโก เวียดนาม เยอรมนี และเเคนาดา ตามลำดับ ดังนั้นไทยไม่น่าจะอยู่ในกลุ่มที่ต้องกังวลมากนักว่าสหรัฐจะตอบโต้ทางการค้า
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างภาคการผลิตของไทย โดยพบว่าการนำเข้าของไทยจากจ่ีนสูงขึ้น จาก 2 เหตุผลคือ การนำเข้าสินค้าที่จีนผลิตเกิดความต้องการและไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐได้ และ การนำเข้ากลุ่มชิ้นส่วนเพื่อการผลิตภายในประเทศและส่งออกซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้สะท้อนว่าไทยกำลังปรับเข้าห่วงโซ่อุปทานโลก หรือGVCใหม่
โดยข้อมูลจาก รายงาน THAILAND ECONOMIC MONITOR | February 2025 ระบุว่า การนำเข้าจากจีนของประเทศต่างๆที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐต่อการเบี่ยงเบนทางการค้าเทียบกับช่วงที่ผ่านมานั้น ม่ีสัดส่วนโดยเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดย เม็กซิโก เพิ่มขึ้น ถึง 11.2%อินเดียเพิ่มขึ้น 16% อิตาลี เพิ่มขึ้น 10.9% อินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 10.8% ไอซ์แลนด์ เพิ่มขึ้น 12.2% อิตาลี เพิ่มขึ้น 10.9% และไทยเพิ่มขึ้น 7.2% มาเลเซียเพิ่มขึ้น 6.3% ขณะที่เวียดนาม ลดลง 0.3%
ผลกระทบทางตรงจากปัจจัยทรัมป์ 2.0 สำหรับประเทศไทยอาจไม่ได้สูงมาก แต่ในทางกลับกันผลกระทบทางอ้อมไทยจะได้รับอย่างชัดเจนมากกว่า โดยหากเศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบไทยก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ซึ่งความเปลี่ยนแปลงขณะนี้ ทำให้สูตรคำนวนเดิมที่เคยบอกว่า หากเศรษฐกิจสหรัฐลดลง 1% จากทำให้จีดีพีไทยลดลง 0.5% นั้น อาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป
“จีดีพีควรสะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทย โดยปัจจุบันยังโตไม่เต็มศักยภาพ และคาดว่าจนถึงปี 2028 จีดีพีไทยยังคงอยู่ในระดับ2.7-2.9% ซึ่งตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ20ปี ที่กำหนดว่า ปี 2037 ไทยจะเป็นกลุ่มประเทศรายได้สูงนั้น การที่จีดีพีไทยเติบโตเฉลี่ยที่ 3% ถือว่าไม่เพียงพอ แต่จะต้องเติบโตให้ได้ปีละ 5% จึงจะมีโอกาสปรับสู่การเติบโตอย่างมีศักยภาพและเป็นประเทศกลุ่มรายได้สูง”
อย่างไรก็ตาม เพื่อการเติบโตอย่างมีศักยภาพไทยต้องปรับตัวทั้งด้านการผลิต แรงงาน และการลงทุน โดยต้องผ่านความท้าทายจากสังคมสูงวัย และความสามารถการดึง FDI ให้ได้ รวมถึงการลงทุนเชิงนวัตกรรมด้วย
ดร.เกียรติพงศ์ กล่าวถึง เสถียรภาพด้านการคลัง ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางอนาคตทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนเชิงนโยบายว่า การคลังของไทยมีเสถียรภาพจากดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเป็นบวกมายาวนานแม้บางช่วงจะขาดดุลบ้างแต่คาดว่าการเกินดุลจะกลับมาและเข้าสู่ระบบปกติได้เร็วๆนี้
ด้านเงินเฟ้อไทยมีอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำสุดในอาเซียน แต่อัตราที่ต่ำนี้แม้จะไม่น่าห่วงในเชิงหลักการแต่สะท้อนว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับที่ต่ำ เป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัวดีเท่าที่ควร
ทั้งนี้ การประเมินเศรษฐกิจระยะสั้นและระยะยาว พบว่าระยะสั้นเศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความท้าทายที่สูงมาก เนื่องจากการลงทุน
เอไอกำลังมุ่งไปสู่สหรัฐขณะที่ระยะยาวก็มีการลงทุนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล รวมถึงการลงทุนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ด้วย
ดังนั้น การจัดการด้านการคลังเพื่อรองรับการลงทุนแห่งอนาคตของประเทศไทยนั้นกำลังเผชิญความท้าทายจากหนี้สาธารณะ ที่เดิมก่อนโควิด เฉลี่ยที่ 40% ต่อจีดีพี มาอยู่ที่ 60% และเกือบๆจะถึง 70% จากโควิด และ นโยบายเงินดิจิทัล ในปัจจุบัน ซึ่งระดับหนี้ที่ใกล้ 70% นี้ ถือว่ายังมีช่องว่างด้านการลงทุนเพื่อการพัฒนาในอนาคตได้อีกเพราะไทยยังมีfiscal space ที่แม้จะแคบลงแต่ยังมีโอกาสที่สามารถลงทุนเพื่อวางรากฐานแห่งอนาคตได้เพียงแต่ต้องทำอย่างระมัดระวังเท่านั้น







