'สภาพัฒน์’ ชี้ ‘แรงงานคืนถิ่น’ โอกาสทองพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

“สภาพัฒน์” เปิดข้อมูลชี้ ‘แรงงานคืนถิ่น’ โอกาสทองพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เร่งแก้โจทย์รายได้-สวัสดิการ ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน ดึงคนรุ่นใหม่กลับบ้านได้สำเร็จ
KEY
POINTS
- ผลสำรวจสภาพัฒน์พบว่าแรงงานทักษะกว่า 62.9% มีแรงจูงใจกลับภูมิลำเนา หากภาครัฐสามารถยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมในท้องถิ่นให้ดีขึ้น
- อุปสรรคสำคัญที่ทำให้แรงงานไม่ย้ายกลับคือความกังวลเรื่องรายได้และสวัสดิการที่ลดลง ภาระหนี้สิน และความไม่กล้าเสี่ยงในการเริ่มต้นธุรกิจใหม่
- สภาพัฒน์เสนอให้รัฐสร้างแรงจูงใจให้แรงงานคืนถิ่น โดยการให้สวัสดิการพิเศษ สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ และส่งเสริมการลงทุนในเมืองรองเพื่อสร้างงานรายได้สูง
เมื่อเร็วๆนี้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ร่วมมือกับศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคม และธุรกิจ จำกัด (SAB) ทำการสำรวจแรงจูงใจและปัจจัยที่ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายแรงงานไปยังภูมิลำเนาและสภาพแวดล้อมให้แรงงานคืนถิ่นสามารถยกระดับเศรษฐกิจฐานราก เพื่อศึกษาสาเหตุของการย้ายถิ่นฐานออกจากภูมิลำเนา ข้อจำกัดในการย้ายกลับ และปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการย้ายกลับไปพัฒนาท้องถิ่นของแรงงาน
โดยผลการสำรวจ "แรงงานคืนถิ่น" พบว่า แรงงานคนทำงานตอนต้น (อายุ 20 – 35 ปี) ที่มีการศึกษาระดับ ปวส. ขึ้นไป ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่ยังคงอาศัยและทำงานกระจุกตัวอยู่ในจังหวัดเศรษฐกิจ แต่มีสัญญาณที่ดีว่า แรงงานกว่า 62.9% มีแรงจูงใจให้กลับภูมิลำเนาได้ หากภาครัฐสามารถยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมในท้องถิ่นให้ดีขึ้นจากในปัจจุบัน
โดยที่ผ่านมาแรงงานกลุ่มนี้ย้ายมายังจังหวัดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น และสงขลา โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ การย้ายมาเพื่อทำงานโดยตรง กว่า 60.5% และส่วนใหญ่เห็นว่าปัจจัยดึงดูดที่สำคัญที่สุดคือ เงินเดือน/ค่าจ้าง/สวัสดิการที่ดีกว่า 67%
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งคือโอกาสเติบโตในสายงาน 46.2% โดยแรงงานที่เคยทำงานในภูมิลำเนามาก่อนถึง 82.2% ต่างมีรายได้ดีขึ้นหลังย้ายมาทำงานในจังหวัดเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับที่พวกเขามองว่า งานและธุรกิจในปัจจุบันมีความมั่นคงอยู่แล้ว
การย้ายถิ่นกลับบ้านเกิดยังมีอุปสรรค
ทั้งนี้แม้ว่าแรงงานจะมีแนวโน้มที่จะย้ายกลับภูมิลำเนาในระยะยาว โดยเฉลี่ยระบุว่าประมาณ 10 ปี แต่อุปสรรคหลักที่ขวางกั้นการคืนการย้ายถิ่นกลับถิ่นฐานคือ ความกังวลต่อการสูญเสียรายได้หรือสวัสดิการที่ดี นอกจากนี้ ความไม่กล้าเสี่ยงเปลี่ยนงานหรือเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ถือเป็นปัญหาสำคัญสำหรับกลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่ง 53.8%
นอกจากนั้นภาระผูกพันทางการเงินและครอบครัวก็เป็นปัจจัยสำคัญ โดยกลุ่มที่ต้องส่งเงินกลับไปช่วยเหลือครอบครัวในภูมิลำเนาและกลุ่มที่มีภาระหนี้สินผ่อนชำระ ต่างต้องทำงานในจังหวัดเศรษฐกิจต่อไปอีกเฉลี่ย 11.6 ปี และ 11.4 ปี ตามลำดับ
ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มที่อาศัยในเมืองเศรษฐกิจมานานตั้งแต่ 21 – 25 ปี มากกว่า 87.5% มีความผูกพันกับภูมิลำเนาในระดับน้อยถึงไม่ผูกพันเลย
แนะเปลี่ยน "ทางเลือก" ให้กลายเป็น "โอกาส"
ทั้งนี้ในรายงานของสภาพัฒน์เสนอแนะว่ารัฐต้องสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตในท้องถิ่นเพื่อเปลี่ยน "ทางเลือก" ให้กลายเป็น "โอกาส" อย่างแท้จริง ภาครัฐควรเร่งดำเนินการตามปัจจัยจูงใจที่แรงงานต้องการเพื่อจูงใจให้เกิดการย้ายถิ่นฐานกลับไปยังท้องถิ่น เช่น
1.ด้านเศรษฐกิจและการสนับสนุน โดยกลุ่มลูกจ้างส่วนใหญ่ กว่า 64.1% ต้องการ สวัสดิการพิเศษ เมื่อกลับไปทำงานในท้องถิ่น ขณะที่กลุ่มอาชีพอิสระ กว่า 56.2% ต้องการเงินทุนสนับสนุน เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ โดยทั้งสองกลุ่มยังต้องการให้ขนาดเศรษฐกิจในภูมิลำเนาดีขึ้นและมีงานรองรับ
2.ด้านคุณภาพชีวิต โดยแรงงานส่วนหนึ่ง ประมาณ 27% ต้องการให้ ระบบการศึกษาในภูมิลำเนามีคุณภาพทัดเทียมกับเมืองใหญ่ นอกจากนี้ยังต้องการระบบขนส่งมวลชนที่ทั่วถึง และระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเช่นอินเตอร์เน็ตที่เสถียร
3.รัฐบาลว่าควรเร่งขยายผลนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในเมืองรอง และส่งเสริมการลงทุนในภูมิภาคที่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของจังหวัดเศรษฐกิจ โดยเน้นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานทักษะเพื่อสร้างรายได้ที่ใกล้เคียงกับเมืองใหญ่
4.สนับสนุนโครงการหรือกองทุนเพื่อสนับสนุนการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ในบ้านเกิด รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมและระบบพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษา และการดำเนินการเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความผูกพันกับบ้านเกิดและสร้างเครือข่ายคนคืนถิ่นเพื่อแลกเปลี่ยนโอกาสทางอาชีพ/ธุรกิจ ทำให้เป็นแรงผลักดันให้กลับไปทำงานในท้องถิ่นดั้งเดิมต่อไป







