"สมคิด"แนะ กต.ใช้เวทีเอเปคชูบทบาทไทยผู้นำอาเซียน หวังจีนดึงลงทุนเพิ่ม

"สมคิด"แนะ กต.ใช้เวทีเอเปคชูบทบาทไทยผู้นำอาเซียน หวังจีนดึงลงทุนเพิ่ม

“สมคิด” ชี้กต.ไทยต้องใช้เวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเอเปค ส่งสัญญาณให้ชัดถึงความเป็นผู้นำอาเซียนของไทย ไม่เช่นนั้นจะหมดความสำคัญในสายตายจีน-สหรัฐฯ แนะเดินหน้า 3 ข้อกับจีนให้ชัดกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น ฟื้นกรรมการเศรษฐกิจร่วมสองประเทศ เดินหน้า one belt one road

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในหัวข้อพิเศษ “ความสัมพันธ์ไทย – จีน ในบริบทโลกที่เปลี่ยนไป” ในงานพบปะนักธุรกิจไทยเชื่อสายจีน โดยมีนักธุรกิจไทยเชื้อสายจีนจากหลายวงการธุรกิจเข้าร่วมรับฟังประมาณ 200 คน ที่โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน กรุงเทพฯ วันนี้ (14 พ.ย.)

ว่าบริบทของโลกในขณะนี้จีนมีความสำคัญในทุกด้านทั้งด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาเรื่องเทคโนโลยี  และการเมืองระหว่างประเทศที่จีนมีบทบาทมากขึ้น และมีการแข่งขันกับมหาอำนาจเดิมที่มีบทบาทมานานอย่างสหรัฐฯ

โดยในการกล่าวถ้อยแถลงของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในหลายเวทีไม่ได้พูดถึงแค่ความเข้มแข็งของจีน แต่พูดถึงบทบาทของจีนในการเป็นผู้นำโลกเช่น การตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา (global development initiative) ที่เข้าไปช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา ประเทศขนาดเล็ก รวมถึงการตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB) เพื่อสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะระบบรางที่เชื่อมโยงจากจีนไปยังภูมิภาคต่างๆทั่วโลก

ทั้งนี้บทบาท และความสำคัญของจีนที่มากขึ้นเพราะจีนคืออนาคตของประเทศไทย ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การค้า การขาย การลงทุนไม่มีเรื่องใดไม่เกี่ยวกับจีน ทำให้ไทยต้องแสดงให้จีนเห็นว่าไทยมีความสำคัญอย่างไรในสายตาจีน ดังนั้นผู้นำอาเซียนไทยทิ้งไม่ได้ต้องแสดงให้เห็นว่าเรายังมีบทบาทสำคัญในการเป็นแกนกลาง และเป็นผู้นำของอาเซียนแบบที่เคยเป็นในอดีต

เพราะจีนให้ความสำคัญกับอาเซียนเป็นอย่างมากดังนั้นต้องทำให้ไทยมีความสำคัญในภูมิภาคนี้ในสายตาจีน โดยในเวทีการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค 17 – 19 พ.ย.นี้กระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องคิดและมีถ้อยคำ (message) ที่สำคัญที่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ของไทยได้พูดส่ง message ว่าไทยยังสามารถเป็นผู้นำและแกนกลางของอาเซียนได้โดยที่เราไม่ตกรุ่น

นายสมคิดกล่าวว่าในช่วงนี้มีการประชุมเวทีที่สำคัญๆในอาเซียนที่มีผู้นำช่วงชิงกันเป็นผู้นำในอาเซียน โดยมีการจัดต่อเนื่องกันตั้งแต่การประชุมอาเซียนซัมมิทที่กัมพูชา 10 – 13 พ.ย.ที่ผ่านมาการกล่าวในที่ประชุมของสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชากล่าวว่า  อนุภูมิภาคนี้อยู่บนทางแยกที่สำคัญของความไม่แน่นอนของชีวิตคนหลายล้านคน  โดยอนาคตขึ้นกับผู้นำชาติขนาดใหญ่ที่ต้องตัดสินใจอย่างมีสติปัญญา ชวนให้ผู้นำมาคุยกัน ประโยคนี้ไม่น่ามาจากสมเด็จฯฮุนเซนแต่เพราะเขาต้องการชิงธงความเป็นผู้นำของอาเซียน ขณะที่อีกไม่กี่วันจะมีการประชุมG 20 ที่อินโดนิเซีย ประธานาธิบดี โจโก วิโดโด ของอินดนิเซีย ก็ได้มีทำการบ้านล่วงหน้าเดินสายไปพบกับผู้นำประเทศต่างๆก็คาดว่าเขาจะมีการประกาศเรื่องสำคัญเพื่อชิงความเป็นผู้นำของอาเซียนและเพื่อแข่งกับเวียดนามได้

“กระทรวงการต่างประเทศต้องคิดว่าในการประชุมเอปคครั้งนี้ สิ่งที่จะให้พล.อ.ประยุทธ์พูดอะไร เพื่อสื่อในเรื่องของประเทศไทย ไม่ใช่ให้ไคลแมกซ์ทุกอย่างไปอยู่ที่ในการประชุมจี 20 ที่อินโดนิเซีย แล้วผู้นำแค่แวะมากินข้าวเย็นที่เมืองไทยเท่านั้น” นายสมคิดกล่าว

เขากล่าวด้วยว่าในเรื่องของการเดินหน้าความร่วมมือระหว่างไทยกับจีนนั้นต้องให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อได้แก่

1.กระชับความสัมพันธ์ไทยจีนต้องกระชับกันให้แน่นแฟ้น ไม่บกพร่องสามารถกระชับความสัมพันธ์ได้ทุกด้าน บนผลประโยชน์ที่จะมีร่วมกันในอนาคต

 

2.เดินหน้านโยบายความร่วมมือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One belt one road)ให้จบ โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ที่มีโครงการต่อเนื่องจาก กทม.ไปถึงหนองคาย อย่าปล่อยให้จีนสร้างมาจนถึงเวียงจันทร์แล้วค้างอยู่อย่างนั้นโดยเรายังต่อไปไม่ถึงเสียที

และ 3.ฟื้นความร่วมมือคณะกรรมการร่วมเศรษฐกิจไทย-จีน (JC) ให้กลับมามีความต้องแข็งแรง และกลับมามีบทบาท โดนเพราะในการเชื่อมต่อไปยังคณะกรรมการถาวรทั้ง 7 คนของพรรคคอมมิวนิสต์ชุดใหม่ต้องต่อให้ได้ 

 

“จีนเป็นประเทศใหญ่ เราต้องเอาสิ่งที่เราคิดเป็นประโยชน์ทั้งของเราและเขาและเอาเรื่องนี้ไปใส่ความคิดเขา เช่น เรื่องอีอีซี ที่ดึงเขามาลงทุนได้เหมือนในช่วงที่ผ่านมา”