'สุพัฒนพงษ์' ชี้เศรษฐกิจไทยโตหลังโควิด ต่างชาติจ่อลงทุน 2 ล้านล้าน

'สุพัฒนพงษ์' ชี้เศรษฐกิจไทยโตหลังโควิด ต่างชาติจ่อลงทุน 2 ล้านล้าน

“สุพัฒนพงษ์”ชี้เศรษฐกิจไทยโตหลังโควิด ถูกเลือกเป็นฐานการลงทุนใหม่ หลังรัฐบาลหนุนลงทุนหลายด้าน เศรษฐกิจเติบโต ชี้หากเจรจาโครงการใหญ่ๆสำเร็จจะมีการลงทุนเข้ามากว่า 2 ล้านล้านบาท ชี้ไทยพร้อมเป็นฐานผลิตยานต์ยนต์ไฟฟ้า ดิจิทัล เทคโนโลยี และพลังงานไฮโดรเจน

นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน กล่าวในงานสัมมนา “การกอบกู้และก้าวต่อของเศรษฐกิจไทย The Great reset” ในวาระก้าวสู่ปีที่ 15 บริษัท ไทย นิวส์ เน็ตเวิร์ค (ทีเอ็นเอ็น) จำกัด หรือ TNN ช่อง 16 ในหัวข้อ “เศรษฐกิจไทยยุคใหม่ ก้าวสู่ Next Chapter” ว่าเป็นเวลากว่า 3 ปีที่ประเทศไทยต้องเจอวิกฤติซ้อนวิกฤติเริ่มจากการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาจน และความขัดแย้งของขั้วอำนาจในโลก ที่นำมาสู่ราคาอาหารแพง ราคาพลังงานแพงและเกิดภาวะเงินเฟ้อ 

มาถึงวันนี้เศรษฐกิจไทยค่อยๆดีขึ้น หนี้รอการแก้ไขลดลงจาก 12-14 ล้านบัญชีเหลือ 3 ล้านบัญชี รายได้ของประเทศดีขึ้นเรื่อยๆ ตัวเลขความมั่นทางเศรษฐกิจการลงทุนมาเรื่อยๆ ความน่าเชือถือในการจัดอันดับเครดิตยังอยู่ในระดับเดิมก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 ธนาคารต่างๆยังเข้มแข็ง จึงอยากให้ประชาชนมั่นใจสถานการณืดีขึ้นเรายังมีสภาพรับมือกับสิ่งที่ยังคงค้างของวิกฤติ 

อย่างไรก็ตามท่ามกลางปัญหาทั้งหมดนี้ประเทศไทยยังมีโอกาส โดยโอกาสของประเทศไทยเกิดขึ้นตั้งแต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์อาชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ประกาศบนเวทีการปรระชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP26) ว่าประเทศไทยจะเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี ค.ศ. 2050 กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้อุตสาหกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยทางคาร์บอนต้องมีการเปลี่ยนแปลง ไม่เช่นนั้นการค้าขายจะถูกจับตามองหากยังมีพฤติกรรมปล่อยคาร์บอนต่อไป

นอกจากนี้ไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ประกาศเรื่องนี้และดำเนินการในทันที ที่จะมีพลังงานสะอาดเกิดมากขึ้น และไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคและในโลกนี้ที่สนับสนุนให้ประชาชนได้เข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้า (EV)เพื่อให้เกิดการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้าในไทย โดยไม่ใช่เพียงแค่การส่งเสริมการส่งเสริมการนำเข้าแต่เราต้องการเป็นผู้ผลิตรถ EV 

“หลายคนบอกไปช่วยเหลือรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามา ไม่ใช่นะครับ ถ้าเราจะให้ส่วนลดยานยนต์ไฟฟ้า ผู้ที่นำเข้ามาต้องตกลงสร้างโรงงานในไทย 2-3 ปีจากนี้ การำนเข้ามาคือการทดลองตลาดและเขาต้องผลิตขายคืนในประเทศไทย จึงมั่นใจได้เลยว่าประเทศไทยมียานยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นแน่นอน ไม่ต่ำกว่า 5 ยี่ห้อ และเป็นเครื่องยืนยันว่าอุตสาหกรรมหลักที่เป็นอุตสาหกรรมสำคัญของไทย และเรายังเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ทุกประเภทอยู่ และยังทำให้เกิดระบบนิเวศน์ตามขึ้นมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดิจิทัล เทคโนโลยี ที่จะตามมาเชื่อมโยงกันหมดรวมทั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับยานยนต์ และจะมีอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)รูปแบบใหม่ๆ และในการลดคาร์บอนก็ต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ต้องมีการลงทุนอื่นๆ รวมถึงการปลูกป่าที่เกษตรกรจะได้ประโยชน์”

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่าล่าสุดที่นักลงทุนที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดที่สำคัญของโลก ขณะที่จะให้ประชาชนคนไทยเข้ามาสู่ดิจิทัล เทคโนโลยี เช่นที่ทำมาแล้วคือ แอฟเป๋าตัง การขายสลากดิจิทัล ใบละ 80 ปี และจะมีอุตสาหกรรมเอสเอ็มอีใหม่เกิดขึ้นใหม่จากดิจิทัลแพลตฟอร์ม นอกจากนั้นโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลทำไว้และเอกชนมาสานต่อ วันนี้มีผู้ลงทุนขนาดใหญ่สนใจเรื่อง คลาวด์ เซอร์วิส, คลาวด์ คอมพิวติ้ง, เอไอ ,ดาต้าเซ็นเตอร์ ระดับต้นๆของโลกมาดูประเทศไทยและคาดว่าจะยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในเร็วๆนี้

นอกจากนั้น โครงสร้างพื้นฐานที่ไทยมีพร้อมทั้งทางรถ ทางราง ทางเรือ และทางอากาศ เริ่มเห็นผลเป็นทีป่ระจักษ์และจากความขัดแย้งในโลกทำให้นักลงทุนหลายรายอยากย้ายฐานการผลิตมาไทย ที่เป็นประตูทางการค้าได้ ไทยจึงเป็นประเทศเป้าหมายเห็นได้จากยอดผู้แสดงความสนใจเข้ามาลงทุนในไทยและนำอุตสาหกรรมที่ไทยไม่เคยมีมาก่อน ในเขตพัฒนาพิเศาภาคตะวันออกก็มีผู้มาลงทุนรวมกันกว่า 900,000 ล้านบาท และไทยได้รับการยอมรับที่จะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพ อุตสาหกรรมหมุนเวียน และอุตสาหกรรมสีเขียว(BCG) โดยรัฐบาลเห็นโอกาสที่โครงการขนาดใหญ่ หากทำได้สำเร็จจะเกิดการลงทุนกว่า 2 ล้านล้านบาท ซึ่งโครงการเหล่านี้จะสร้างระบบนิเวศน์ใหม่ที่สร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในอีกหลายรอบ

“ผมไม่เคยเป็นนักการเมือง ผมอยู่ในแวดวงนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรมและการเงิน แต่ตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมา มีหลายเรื่องไม่เคยเห็นไม่เคยทรายและรัฐบาลทำอย่างเต็มที่ สิ่งสำคัญพบว่าปประเทศไทยมีโอกาสแม้ในยามวิกฤตินี้ อยากให้เชื่อมั่นแต่ความสำเร็จเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของทุกคนและความเชื่อมั่นของประชาชนไทยต่อประเทศไทยเองว่ากำลังจะดีขึ้น 

ทั้งนี้อย่าได้เปรียบเทียบกับตนเองเมื่อก่อนวิกฤติ แน่นอนมันยังไม่กลับมาเหมือยเดิม แต่ขอให้เปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านเพราะเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นทั้งโลก ซึ่งโอกาสเขาน้อยมากกว่าประเทศไทย”นายสัพัฒนพงษ์ กล่าว