'เซ็นทรัล' ชี้ค้าปลีกเสี่ยงโตต่ำ‘จีดีพี’ จี้รัฐแก้ปัญหาสินค้าจีนตีตลาด
ภาคค้าปลีกไทยปี67 เสี่ยงโตต่ำกว่าจีดีพี เสนอรัฐบาล แก้สินค้าจีนตีตลาดกระทบเอสเอ็มอี หามาตรการสร้างท่องเที่ยว ออกมาตรการจูงใจคนระดับกลาง-บน ใช้จ่ายเพิ่ม ชี้ 10 ปีที่ผ่านมาโตต่ำกว่าจีดีพี ด้าน “เซ็นทรัลรีเทล” ประกาศปี 67 ใช้งบ 2.4 หมื่นล้าน ขยาย 4 กลุ่มธุรกิจ
Key Points:
- ภาพรวมค้าปลีกไทยในปี 2567 เสี่ยงโตน้อย ไร้แรงหนุน
- ชี้สัญญาณโตชะลอตัวต่ำกว่าจีดีพี มาร่วม 10 ปี
- ปัญหาสินค้าจีนตีตลาดหนัก -กำลังซื้อในประเทศแผ่ว
- เสนอรัฐเร่งแก้ปัญหา ดึงกลุ่มกลางคน ท่องเที่ยวใช้จ่าย
- เปิดแผนเซ็นทรัลรีเทลปี 2567 เร่ง 4 กลุ่มธุรกิจ
- มั่นใจสร้างรายได้ปีนี้ทะยานแกร่ง 9-11%
ภาคธุรกิจค้าปลีกและบริการเป็นธุรกิจที่มีขนาดตลาดกว่า 4.4 ล้านล้านบาท เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ จากการจ้างงานในประเทศจำนวนมาก แต่ในปี 2567 ภาคค้าปลีกต้องเผชิญกับปัจจัยความเสี่ยงและความท้าทายในหลายด้าน ทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ ฉุดการเติบโตของตลาดและเศรษฐกิจทั้งระบบ จึงจำเป็นต้องกระตุ้นภาครัฐออกมาตรการปลุกค้าปลีกแข็งแกร่ง
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ฉายภาพค้าปลีกไทยว่า ช่วง 10 ปีก่อนหน้านี้ ภาคค้าปลีกขยายตัวมากกว่า จีดีพีของประเทศในระดับ 1-2 เท่าตัวมาตลอด เป็นแรงหนุนสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ แต่หลังจากนั้น ค้าปลีกโตช้ากว่าจีดีพี ล่าสุดปี 2566 ขยายตัวสอดคล้องกับ จีดีพี ที่ขยายตัว 1.6-1.7%
สินค้าจีนตีตลาดกระทบธุรกิจในประเทศ
ทั้งนี้ การขยายตัวของภาคค้าปลีกในช่วงที่ผ่านมาที่ต่ำกว่า จีดีพี มีปัจจัยหลักมาจากทั้ง ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงปัจจัยลบสำคัญคือการมีสินค้าจากประเทศจีนเข้ามาตีตลาด ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนมูลค่าหลักแสนล้านบาท และเม็ดเงินเหล่านี้ถูกดึงออกนอกประเทศถึงสองในสามของเม็ดเงินทั้งหมด กระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและธุรกิจในประเทศ รวมถึงสถานการณ์หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง 90% ของจีดีพี และปัญหาหนี้นอกระบบ
“ภาคธุรกิจค้าปลีกและภาคบริการเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยจากการจ้างงานในระบบจำนวนมาก ร่วมกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตมาตลอด”
นายญนน์กล่าววว่า สำหรับทิศทางในปีนี้ค้าปลีกมีโอกาสที่จะขยายต่ำกว่าจีดีพีที่ประเมินกันไว้ในระดับ 2-3% หากภาครัฐบาลยังไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาเรื่องสินค้าจีนราคาถูกเข้ามาตีตลาดจำนวนมาก เนื่องจากกลุ่มสินค้าเหล่านี้ ไม่มีมาตรการทางภาษีมาดูแล จึงเป็นช่องว่างทำให้สินค้าจำนวนมหาศาลแห่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยได้ง่าย
ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติกระตุ้นการใช้จ่าย
นอกจากการจัดการปัญหาดังกล่าว สิ่งที่รัฐจะน่าจะต้องหาทางแก้ไขคือการหามาตรการดึงต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวและใช้จ่ายในไทยยาวนานขึ้น ซึ่งอาจจะรวมถึงการใช้มาตรการทางภาษีมากระตุ้น เช่น การจัดทำดิวตี้ฟรีโซน อย่างพื้นที่ภูเก็ต เพื่อประเมินตลาดและผลตอบรับ ร่วมกระตุ้นภาคค้าปลีกและท่องเที่ยวไปด้วยกัน
“ค้าปลีกในปีนี้คงโตสอดรับกับจีดีพีที่เป็นเรื่องที่น่ากังวล ถ้าเราไม่สามารถปรับเทรนด์จากการโตช้า อยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาโครงสร้างและปัญหาระยะสั้นไปด้วยกัน โดยประเมินค้าปลีกในปีนี้ก็คงโตมากสุด ประมาณ 2.5-2.7%”
ขณะเดียวกัน ต้องหามาตรกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศของกลุ่มลูกค้าระดับกลางและบน ให้มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เห็นได้จากมาตรการช้อปลดหย่อนภาษี ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 15 ก.พ.นี้ เป็นมาตรการที่ร่วมกระตุ้นตลาดกลางและบนให้มีการใช้จ่ายอย่างคึกคัก ซึ่งหากรัฐบาลจะออกมารูปแบบใหม่ออกมา ควรปรับให้สร้างสรรค์มากขึ้น เพื่อร่วมกระตุ้นให้ตลาดนี้ออกมาใช้จ่าย รวมถึงการหามาตรการแก้ปัญหากลุ่มที่ไม่มีกำลังซื้อในประเทศ ให้สามารถใช้จ่ายได้อย่างต่อเนื่อง
“ในปีนี้แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยจะมีจำนวนลดลงก็ตาม แต่มีสัญญาณที่ดีคือ นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้จ่ายมากขึ้นและอยู่ในประเทศไทยยาวนานขึ้น สิ่งสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้มีการใช้จ่ายที่สูงขึ้นไปอีก เช่น หากมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกเป็น 10,000 บาทต่อคนได้ จะยิ่งกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจให้คึกคักมากไปอีก”กางแผนลงทุนเซ็นทรัลรีเทลปี 2567
ในส่วนเซ็นทรัลรีเทลปีนี้ตั้งเป้ารายได้โต 11-14% โดยมีแผนธุรกิจหลักคือ การทุน 22,000-24,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยมุ่งขยายธุรกิจรีเทลใน 4 กลุ่มธุรกิจหลักให้มั่นคง กลุ่มแฟชั่น กลุ่มฟู้ด กลุ่มฮาร์ดไลน์ กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเน้นใน 3 ตลาดที่สำคัญในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี โดยหลักๆ เป็นการลงทุนในประเทศ 75% และต่างประเทศ 25%
สำหรับกลุ่มธุรกิจแรกแฟชั่น ได้เปลี่ยนโฉมห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล แฟล็กชิปสโตร์ สาขาชิดลมครั้งใหญ่สู่การเป็น เวิลด์ คลาส ลักชัวรี เดสทิเนชั่น พร้อมขยายสาขาใหม่ 2 แห่ง รวมถึงการรีโนเวทและอัปเกรดห้างอีก 4 แห่ง รวมถึงมีเพิ่มแบรนด์ชั้นนำระดับโลก และนำแบรนด์ในไทยขยายไปยังเวียดนาม
กลุ่มฟู้ด มุ่งขยายค้าส่งกับ โก โฮลเซลล์ (GO Wholesale) เปิดใหม่ 7 สาขา เพื่อให้เป็นจุดหมายใหม่สำหรับทุกๆ คน และทางเลือกใหม่สำหรับลูกค้า ผู้ประกอบการ และพาร์ตเนอร์ ส่วนธุรกิจฟู้ด จะเปิดท็อปส์ 10 สาขาในไทย ส่วนในเวียดนาม มีแผนเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ต GO! ใหม่ 3 สาขา และ go! (มินิ โก!) 9 สาขา
ขณะที่ กลุ่มฮาร์ดไลน์ จะขยายสาขาไทวัสดุใหม่ 9-10 สาขา และรีโนเวท 4 สาขา รวมถึงปรับโฉมร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า เหงียนคิม ในเวียดนาม
ส่วนกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ โดยศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ จะพัฒนาและปรับปรุงสาขาอย่างต่อเนื่อง ส่วนศูนย์การค้า GO! ในเวียดนาม มีแผนขยาย 3 สาขา ทั้งนี้ประเมินว่าปี 2567 จะมีสาขารีเทลในเวียดนาม 42 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ใน 42 จังหวัด
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอยู่ภายใต้ CRC OMNI-Intelligence ประกอบไปด้วย 5 ด้านที่สำคัญ ทั้ง 1. Revolutionise Core Strength มุ่งยกระดับความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักใน Multi-Format, Multi-Category และ Multi-Market 2. Reinforce Financial Resilience มุ่งทำให้สถานภาพทางการเงินมีความแข็งแกร่ง และบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
3. Reinvent Beyond Retail มุ่งต่อยอดธุรกิจนอกเหนือจากธุรกิจค้าปลีก เช่น เข้าไปเป็นส่วนสำคัญในคอมมูนิตี้ต่างๆ ในแต่ละกลุ่มสร้างเน็ตเวิร์คและมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจเซ็นทรัล รีเทล 4. Reimagine Human Capital คือ พัฒนาศักยภาพของพนักงาน ด้วยการรวม Intelligence ของ AI และ Human Intelligence (HI) เข้าไว้ด้วยกัน
5. Rally Green Impact ยกระดับการทำ Green Transition โดยร่วมมือภาครัฐ เอกชน ลูกค้า และพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ มาร่วมมือกันแก้ปัญหาโลกร้อน เพื่อไม่ให้ไปสู่ ภาวะวิกฤติ ทั้งลดใช้พลังงาน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโลกสีเขียว ร่วมสร้างโลกที่น่าอยู่เพื่อคนรุ่นต่อไป
ทั้งนี้ ประเมินรายได้ในปี 2567 ของบริษัทจะขยายตัว 9-11% จากปีก่อน ท่ามกลางกระแสของการเกิด ดิสรัปชั่น ทั้งจากเทคโนโลยี รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค การเข้ามาของ Generative AI และ Climate Change พร้อมวางเป้าสร้าง EBITDA เติบโต 15-17% จากปีก่อน ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้จะมาจาก ในประเทศ 71-72% รายได้เวียดนาม 20% และอิตาลี 5-7% อย่างไรก็ตาม ประเมินในระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้า รายได้ของภาคธุรกิจจะมาจากในประเทศ 65-70% และนอกประเทศ 25-30%