"เอกชน' ดิ้นสู้ ศก.ถดถอย" พลังงานพุ่ง หนุนเงินเฟ้อ กดดันขึ้นดอกเบี้ยทั่วโลก

"เอกชน' ดิ้นสู้ ศก.ถดถอย" พลังงานพุ่ง หนุนเงินเฟ้อ กดดันขึ้นดอกเบี้ยทั่วโลก

เอกชนส่องเศรษฐกิจโลกโอกาสถดถอยสูง "อาทิตย์“ ชี้ไทยกำลังฟื้นตัว แต่เปราะบาง มั่นใจภาคธุรกิจ-แบงก์พาณิชย์ ยังแกร่ง “จิรายุส”แนะลดค่าใช้จ่าย ถือเงินสด หยุดลงทุนธุรกิจขาดทุน สอท.จี้ส่งออกหาตลาดใหม่ทดแทน หอการค้า ลุ้นจีนเปิดประเทศปลุกท่องเที่ยว 

\"เอกชน\' ดิ้นสู้ ศก.ถดถอย\" พลังงานพุ่ง หนุนเงินเฟ้อ กดดันขึ้นดอกเบี้ยทั่วโลก

เศรษฐกิจโลก อยู่ในสถานการณ์ที่เปราะบาง และกำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เริ่มส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจชัดเจนมากขึ้น ธุรกิจในประเทศไทย นอกจากต้องรับมือวิกฤติครั้งนี้แล้ว ยังต้องหากลยุทธ์พลิกแพลงเพื่อดันให้ธุรกิจเดินหน้าได้ต่ออย่างยั่งยืนท่ามกลางความท้าทายของโลกยุคใหม่

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า มีความเป็นได้สูงขึ้นเรื่อยๆที่เศรษฐกิจโลกจะถดถอย เพราะราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูง เป็นแรงกดดันต่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และส่งผลต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยให้เกิดขึ้นได้ กระทบต่อต้นทุนของประเทศต่างๆ ในโลก ซึ่งบางประเทศที่เศรษฐกิจไม่แข็งแรงก็จะได้รับผลกระทบมาก

แบงก์แข็งแกร่งเสาค้ำยันศก.ไทย

“กังวลที่เศรษฐกิจโลกจะถดถอย เพราะราคาพลังงานยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้น เป็นแรงกดดัน เพราะต้นเหตุของเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูง และการขึ้นดอกเบี้ยก็มาจากราคาน้ำมันเป็นหลัก”

สำหรับประเทศไทย อยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัว แต่ก็ยังอยู่ในภาวะเปราะบาง เพราะมีปัญหาภายใน เรื่องหนี้ครัวเรือนสูง ทำให้ดอกเบี้ยสูงนั้น ไม่ค่อยดี

ขณะที่ภาคธุรกิจไทยถือว่าแข็งแรง แต่ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็กยังต้องได้รับมาตการช่วยเหลือ หากโชคดีที่ประเทศไทยก่อหนี้ไม่มาก และธนาคารพาณิชย์แข็งแรง จะเป็นเสาที่ยันเศรษฐกิจไทยได้ โดยมาตรการที่แบงก์ช่วยลูกหนี้นั้นไม่ได้ทำให้แบงก์อ่อนแอลง

การฟื้นตัวในประเทศดีขึ้น

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ภายใต้ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย มีทั้งปัจจัยบวกและลบ ปัจจัยลบ คือ การส่งออกที่อาจลดลงในระยะข้างหน้า แต่ในประเทศเริ่มเห็นการฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งรายได้ของภาคธุรกิจ และประชาชนเริ่มกลับมา รวมถึงการท่องเที่ยวที่กลับมามากขึ้นหนุนภาพรวมเศรษฐกิจไทยให้ปรับตัวดีขึ้นได้

ในภาคอสังหาริมทรัพย์ มองว่า เป็นเครื่องจักรใหญ่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ปัจจุบัน ธอส.ปล่อยสินเชื่อใหม่เข้าสู่ระบบช่วง 9 เดือนที่แล้วเกือบ 2 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ช่วยขับเคลื่อนภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ประเทศเติบโตมั่นคงได้ ส่วนการตั้งรับของธนาคาร ถือว่ารองรับความผันผวนได้ดี ทั้งเงินสำรองต่อหนี้ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ระดับสูงมาก ดังนั้นในด้านบาลานซ์ชีทของธนาคาร ยังมั่นคงแข็งแกร่ง

อีกทั้งในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี ที่ผ่านมาธนาคารได้มีการลงทุน สำหรับโมบายแอปพลิเคชั่นใหม่ เพื่อรองรับการทำธุรกรรมให้ลูกค้า สามารถใช้สะดวกขึ้น รวมถึงขอสินเชื่อได้คล่องตัว ทำให้อาจเห็นวอลุ่มสินเชื่อใหม่เข้าสู่ระบบได้มากขึ้น

หวังรัฐสนับสนุนการฟื้นตัว

นายเดิมพัน อยู่วิทยา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แรพพิด กรุ๊ปหรือ Rapid Group กล่าวว่า ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอยปีหน้า จะสร้างผลกระทบกระจายทุกอุตสาหกรรม จะมากหรือน้อยแตกต่างกันไป แน่นอนว่า ภาคท่องเที่ยวได้รับผลกระทบมากที่สุดจากวิกฤติโควิด ขณะนี้กำลังฟื้นตัว แต่เมื่อมีความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยเข้ามาเพิ่มเติมปีหน้า หากได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐต่อเนื่องน่าจะทำให้ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวไม่สะดุด

ส่วนค่าเงินบาทอ่อนค่ามากขึ้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของแรพพิด กรุ๊ป แต่หากเงินบาทอ่อนค่ามากกว่า 40 บาทต่อดอลลาร์ มองว่า เป็นจุดที่น่าจะเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวมได้เช่นกัน ถึงเวลานั้น คงต้องเตรียมความพร้อม วิเคราะห์เครดิตลูกค้าที่ปล่อยกู้เข้มข้นมากขึ้น

สำหรับค่าเงินบาทระดับที่เหมาะสม ทำให้ธุรกิจยังเดินหน้าต่อไปได้ คือ ค่าเงินบาทที่ไม่ถูกแทรกแซงจากภาครัฐมากเกินไป ตอนนี้สิ่งที่สำคัญ คือ สะสมเงินทุนสำรองของประเทศที่รัฐต้องเก็บไว้ใช้ เพื่อสู้กับเศรษฐกิจโลกถดถอยในปีหน้า

ขณะที่ยังมั่นใจว่าภาคธุรกิจยังมีโอกาสเติบโต เพราะหากมองเศรษฐกิจระยะข้างหน้า หนีไม่พ้นเดินหน้าไปสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ หรือ “ NEW ECONOMY ” ที่ภาคธุรกิจต้องก้าวเข้าไปอยู่และสร้างการเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจยุคใหม่ให้ได้

“แรพพิด กรุ๊ป” เป็นธุรกิจฟินเทคมีโครงสร้างธุรกิจเป็นบริษัทไฟแนนซ์เชียลเทคโนโลยีทำให้มีความสามารถเอาชนะตลาดในสภาวะวิกฤติต่างๆ แม้อาจจะไม่ได้ชนะ 100% แต่ถือว่า สร้างการเติบโตได้ดีกว่าธุรกิจแบบดั่งเดิม

บิทคับแนะลดค่าใช้จ่าย-สำรองเงินสด

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทย และทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหา “เงินเฟ้อ” ซึ่งเป็นปัญหาหลักของทั้งโลก หลังจากที่ได้เข้าร่วมงานเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม(WEF) ได้มีการพูดถึง “Inflation roadmap” ที่ได้ตกลงตรงร่วมกันว่ากันเงินเฟ้อจะต้องกลับไปอยู่ที่ 2% ในปี 2567

ดังนั้นระหว่างปี 2566-2567 เป็นหน้าที่ของธนาคารกลางของแต่ละประเทศต้องจับมือกันขึ้นดอกเบี้ย เพื่อลดเงินเฟ้อ ทำให้เงินในตลาดน้อยลง และทำให้สภาพคล่องในตลาดจะลดลงเช่นกัน ทั้งตลาดทองคำ ตลาดคริปโทเคอเรนซี ต่างปรับตัวลดลงทำให้การใช้จ่ายจากเงินในกระเป๋าของลูกค้าน้อยลง สะท้อนว่ากำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถอดถอยในระยะสั้น 

ดังนั้นในปีนี้และปีหน้า ควรหลีกเลี่ยงการดำเนินธุรกิจที่ทำให้บริษัทขาดทุน มองการเติบโตและการทำกำไรเป็นหลัก ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ทั้งส่วนบุคคลและบริษัท เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคนและองค์กร นำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาเพื่อชนะ “เงินเฟ้อในระยะยาว” พร้อมกับสำรอง “เงินสด”

“ดับบลิวเอชเอ”สร้างบาลานซ์ธุรกิจ

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกจะถดถอยหรือไม่แต่ภาคธุรกิจจะต้องเดินหน้าต่อ ช่วงโควิดตั้งแต่ปี 2563 ส่งผลให้บางธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ แต่ดับบลิวเอชเอสามารถบาลานซ์พอร์ตได้ดีและทำให้มียอดขายที่เติบโต 20%

ทั้งนี้ การลงทุนของเรียลเซ็กเตอร์เป็นการลงทุนระยะยาว จึงทำให้มีการลงทุนในช่วงนี้เพื่อรอเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยลูกค้าของดับบลิวเอชเอส่วนใหญ่กว่า 80% เป็นนักธุรกิจต่างชาติ ซึ่งทำให้ที่ผ่านมาได้เห็นมองเห็นเทรนด์และการเปลี่ยนแปลงรวมทั้งภาพรวมเศรษฐกิจในหลายประเทศและพบว่าหลายอุตสาหกรรมมีโอกาสเติบโต เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ทำให้ได้มีแผนรับการลงทุนดังกล่าวไว้

อย่างไรก็ตามการรับมือช่วงวิกฤติเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องเดินหน้าไปพร้อมกัน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน โดยการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลก็จะต้องมีความต่อเนื่อง นโยบายไหนทำดีแล้วก็ควรที่จะต้องทำต่อไป เพราะประเทศไทยยังเป็นจุดหมายของการลงทุน

สยามพิวรรธน์มั่นใจรับมือได้ 

นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ กล่าวว่า แนวโน้มสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกล้วนไม่สามารถควบคุมได้ทั้งสงคราม เงินเฟ้อ เศรษฐกิจถดถอย แต่ไทยอาจได้รับผลกระทบไม่มากนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่น

“เราต้องตั้งรับให้ดี ปีหน้าเศรษฐกิจโลกอาจทำให้เราลำบากขึ้นบ้าง แต่ไม่เกินความสามารถของภาคเอกชนไทยที่รับมือได้ทุกยุค ทุกสมัย ทุกวิกฤติมานานมากแล้ว ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเอกชนไทยก็ยังคงเดินหน้าลงทุนในประเทศ ขยายธุรกิจ ทำเรื่องใหม่ๆ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย บรรดานักธุรกิจ ประกอบการเอสเอ็มอี ทุกคนมีฝีมือ มีความเก่งเชื่อว่าจะสามารถก้าวข้ามไปได้ แต่ที่สำคัญอยากให้ภาครัฐช่วยเราด้วย เพราะอย่างไรประเทศไทยก็ยังเป็นดาวเด่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

ซีพีเอ็นแนะธุรกิจพลิกกลยุทธ์ทันโลก

นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์  กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN กล่าวว่า ประเทศไทย recover จากวิกฤติโควิด-19 มาแล้ว ขณะนี้ก้าวสู่เศรษฐกิจขาเปิดเมืองทุกอย่างกำลังดีขึ้น 

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยได้อานิงส์จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเยือนอย่างต่อเนื่องและอาจมากกว่าคาดหวัง หรือราว 25% จำนวนกว่า 10 ล้านคนจากก่อนโควิดนักท่องเที่ยวเกือบ 40 ล้านคนก่อนโควิดก็ตาม แต่ความเป็น dynamism และ new serious  สำคัญ เพราะโลกยังมีความผันผวน ทั้งภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น เงินเฟ้อเป็นอะไรที่ผู้คนกังวล สงครามที่หลายประเทศมีการซ้อมรบ จับขั้วทางการเมือง รวมทั้งความไม่แน่นอนหลายๆด้าน 

“ไทยพึ่งพาเศรษฐกิจโลกค่อนข้างมาก ประเด็นเหล่านี้เราต้องกลับมาคิด วิเคราะห์ และปรับตัวให้ได้กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปของโลก” 

ทั้งนี้หัวใจสำคัญ คือผู้บริโภคและการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของคน ดังนั้นต้องมั่นใจว่าทุกอย่างและทุกก้าวย่างก้าวที่เดินหน้า ได้ทำงาน วางแผนกับคู่ค้า ผู้บริโภค ต้องเข้าใจว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกิจเติบโตไปพร้อมกัน ซึ่งเราปรับเปลี่ยนแนวคิดการดำเนินธุรกิจทางด้านรีเทลต้องออมนิชาแนลมากขึ้น ทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ไม่ว่าจะมาชอปปิงในศูนย์การค้าหรือเข้ามาทางด้านออนไลน์

แม้กระทั่งอาคารสำนักงาน หรือธุรกิจออฟฟิศบิลดิ้ง ต้องเข้าใจว่าสเปซไม่มีความจำเป็นเหมือนเดิมที่จะต้องเวิร์กฟรอมออฟฟิศ แต่สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere)  ดังนั้นพื้นที่ในศูนย์การค้าหลายแห่งถูกปรับเปลี่ยนใช้เป็นพื้นที่สำหรับทำงานมากขึ้น 

‘เอไอเอส’ หวังท่องเที่ยวฟื้น

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์ วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ทำให้ของแพงขึ้น วันนี้เม็ดเงินที่มีอยู่ในผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก ในฐานะที่บริษัทเป็นผู้ให้บริการมือถือที่มีลูกค้า 45 ล้านราย เห็นชัดว่าผู้บริโภคได้รับผลกระทบ เม็ดเงินในกระเป๋ามีน้อยลง ขณะที่กำลังซื้อก็อ่อนตัวลงเล็กน้อย

“หวังว่าช่วงปลายปีที่จะถึงไทยจะมีนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน ซึี่งเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจในบ้านเราคงทยอยดีขึ้นเราเองก็มองบวก ถึงแม้ตรงนี้จะทำให้ เกิดผลกระทบในเรื่องกำลังซื้อจะอ่อนตัวลงไปบ้างเล็กน้อยก็ตาม”

นายพิเชษฐ ฤกษ์ปรีชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไลน์ ประเทศไทย กล่าวว่าสถานการณ์เศรษฐกิจระดับโลกอยู่ในช่วงถดถอย แน่นอนว่า เม็ดเงินที่มาจากลูกค้าลดลง ย่อมต้องมีการแข่งขันกันเพิ่มมากขึ้น ไลน์เองเน้นการบริหารจัดการต้องให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ส่วนเรื่องค่าเงินบาทที่อ่อน มีผลบ้างแต่ไม่มากเท่าไหร่

หอการค้าหวังจีนเปิดประเทศ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกปีหน้าคงชะลอตัว โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนถ้าขยายตัวเพียง 2% จะไม่ช่วยเศรษฐกิจโลกเท่าไรนักหอการค้ากำลังจับตามองการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนวันที่ 16 ต.ค.2565 หวังว่าผู้นำจีนจะผ่อนคลายมาตรการซีโร่โควิด เพื่อให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวมากกว่า 10% และไทยจะได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีนซึ่งคาดว่าปีหน้าภาคการท่องเที่ยวไทยจะเป็นดาวเด่น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน

ส่วนด้านการลงทุนนั้นไทยควรใช้โอกาสในการเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำเอเปค วันที่ 16-18 พ.ย.นี้ เชิญชวนนักธุรกิจต่างชาติเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มากขึ้น

สอท.แนะปรับแผนส่งออก

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) กล่าวว่า การที่สหรัฐใช้มาตรการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อและยังมีเป้าหมายที่จะขึ้นดอกเบี้ยอีกส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ โดยเฉพาะในปี 2566 ประกอบการสงครามรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ ส่งผลต่อค่าพลังงานที่สูงขึ้น

ทั้งนี้ไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกจำเป็นต้องจับตาสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด และปรับแผนการส่งออกใหม่ เพราะคาดว่าการส่งออกไทยจากนี้ไปคงไม่เฟื่องฟูมากเนื่องจากคำสั่งซื้อ ความต้องการสินค้าจะลดลงในปีหน้า 

ดังนั้นการหาตลาดใหม่จึงจำเป็นมาก โดยเฉพาะประเทศที่มีศักยภาพ เช่น ประเทศตะวันออกกลาง เอเชีย และอาเซียนคงต้องจับตาการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งจีนอาจกลับมาเปิดประเทศ มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้นก็จะส่งผลให้มีความต้องการสินค้านำเข้ามากขึ้นก็น่าจะเป็นตัวช่วยดันเศรษฐกิจได้