“ราช กรุ๊ป” หนุนธุรกิจอีวี เร่งปรับพอร์ทพลังงานทดแทนปี 68 กว่า 25%

“ราช กรุ๊ป” หนุนธุรกิจอีวี เร่งปรับพอร์ทพลังงานทดแทนปี 68 กว่า 25%

“ราช กรุ๊ป” ทุ่มงบปี 65 กว่า 3 หมื่นล้าน ปรับพอร์ทพลังงานทดแทนปี  2568 กว่า 25% พร้อมส่ง “อินโนพาวเวอร์” แจมธุรกิจอีวีครบวงจร ปลื้มกำไรปี 2564 กว่า 7,772 ล้าน

นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินงานปี 2565 บริษัทฯ กำหนดกลยุทธ์ 3-G (Growth, Green, Generate Strategy) เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดย G-1 มุ่งเน้นแสวงหาโอกาสเติบโตเพื่อต่อยอดและสร้างมูลค่ากิจการเพิ่ม G-2 สนับสนุนพลังงานทดแทน ยกระดับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล และ G-3 เน้นเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ

“ราช กรุ๊ป” หนุนธุรกิจอีวี เร่งปรับพอร์ทพลังงานทดแทนปี 68 กว่า 25% ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายเพิ่มการลงทุนกำลังผลิตจากพลังงานทดแทนปีละ 250 เมกะวัตต์ และเพิ่มขึ้น 2,500 เมกะวัตต์ในปี 2568 และ 4,000 เมกะวัตต์ในปี 2578 คาดจะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และ 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตามลำดับ พร้อมแผนการปลูกและอนุรักษ์ป่าไม้ ที่จะดำเนินการตั้งแต่ปี 2565-2577 พื้นที่รวม 50,000 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะช่วยดูดกลับก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 670,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า  

โดยปีนี้ บริษัทฯ ตั้งงบลงทุน 30,000 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานปี 2564 โดยบริษัทฯ รับรู้กำไรส่วนของบริษัทฯ จำนวน 7,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.6% เมื่อเทียบกับปี 2563 พร้อมตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มอีก 700 เมกะวัตต์ โดยเป็นโครงการประเภทเชื้อเพลิงฟอสซิลกว่า 450 เมกะวัตต์ และโครงการประเภทพลังงานทดแทนกว่า 250 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนในปี 2565 เพิ่มถึง 9,800 เมกะวัตต์

ส่วนการรับรู้รายได้จะมาจาก 6 โครงการที่ลงทุนและดำเนินงานเชิงพาณิชย์ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 1,376 เมกะวัตต์ อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้าสหโคเจน 124 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเรียว 145 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าเน็กส์ซีฟ ราช ระยอง 45 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนไพตัน 930 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วิน 15 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าราชโคเจนเนอเรชั่น ส่วนขยาย 31 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังน้ำอาซาฮาน 1 ที่ 86 เมกะวัตต์ ด้วย

ในขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีเหลือง จะเริ่มเปิดให้บริการบางส่วนในเดือนส.ค.2565 และโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง ในสปป. ลาว จะเริ่มดำเนินการผลิตในไตรมาส 4/2565 จำหน่ายผลิตภัณฑ์ปีละ 100,000 ตัน

ด้านกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 1,212 เมกะวัตต์ จากการลงทุนใหม่ 4 โครงการ ซึ่ง 3 โครงการเป็นกิจการที่ดำเนินงานแล้ว และโครงการประเภทกรีนฟิลด์ 1 โครงการ ส่งผลให้กำลังการผลิตรวมเป็น 9,115 เมกะวัตต์ เป็นกำลังการผลิตภายในประเทศไทย 59% และต่างประเทศ 41%  

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังรับรู้รายได้จากโครงการพลังงานลมขนาดใหญ่ 2 แห่งที่อยู่ในการดำเนินงานของ บริษัท ราช-ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในออสเตรเลีย มีกำลังการผลิตรวม 376  เมกะวัตต์ ได้ผลิตไฟฟ้าจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมคอลเล็กเตอร์ กำลังการผลิต 226 เมกะวัตต์ จำหน่ายไฟฟ้าเมื่อเดือนเม.ย. 2564 พลังงานไฟฟ้า 136 เมกะวัตต์ ส่วนพลังงานไฟฟ้าอีกประมาณ 46 เมกะวัตต์  สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมยานดิน รับรู้กำลังการผลิต 149 เมกะวัตต์ จำหน่ายไฟฟ้าอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมี.ค. 2564

สำหรับแผนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติ LNG อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อเตรียมออกอาร์เอสพีเพื่อเจรจากับ ซัพพลายเออร์ โดยบริษัทฯ มีแผนนำเข้าในล็อตแรกเดือนกันยายน 2566 โดยจะนำมาใช้ในการทดสอบระบบ ถือว่ายังเป็นไปตามแผนไม่ได้ติดขัดอะไร

ส่วนการลงทุนธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) จะอยู่ในส่วนของบริษัทในเครือผ่าน บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ที่ทำในด้านนวัตกรรมเป็นหลัก มีทั้งการผนึกกำลังพันธมิตรและมีทีมวิจัย สตาร์ทอัพอยู่แล้ว โดยได้มีการศึกษาทั้งในเรื่องอีวี อาทิ สถานีชาร์จ แบตเตอรี่ หรือจักยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรเพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาล