“ราช กรุ๊ป” ตั้งเป้าลงทุนพลังงานทดแทน 40% ในปี 2573

“ราช กรุ๊ป” ตั้งเป้าลงทุนพลังงานทดแทน 40% ในปี 2573

“ราช กรุ๊ป”เดินหน้าลงทุนด้านพลังงานทดแทน 40% ในปี 2573 จากปัจจุบัน 16% แง้มงบลงทุนปี 2565 อยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มกำลังผลิตใหม่ 700 เมกะวัตต์ ดันรายได้โตยาวทุกปีอย่างน้อย 10-20% เร่งเจรจาซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน หวังปิดดีลอย่างน้อย 1 โครงการในสิ้นปีนี้

นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายหลังรับตำแหน่งเดือนครึ่ง บริษัทมีวิสัยทัศน์สู่บริษัทชั้นนำด้านพลังงานและระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก สร้างความมั่นคงในพลังงานไฟฟ้า โดยเป้าหมายการเติบโตคือ

1.รักษากำลังการผลิต 10,000 เมกะวัตต์ เพื่อชดเชยกำลังผลิตที่ครบสัญญาหรือเพิ่มมูลค่ากิจการ 20,000 ล้านบาท

2.ขยายการลงทุนในธุรกิจที่เป็นห่วงโซ่ธุรกิจและสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่นๆ

3.สร้างรายได้จากการลงทุนต่างประเทศไม่น้อยกว่า 50% ของรายได้รวม

4.เพิ่มกำลังการผลิตในธุรกิจพลังงานทดแทนไม่น้อยกว่า 25% ของกำลังผลิตรวม

5.เป็นองค์กรสมรรถนะสูงที่มุ่งเน้นคุณค่าโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมสังคมและธรรมาภิบาล

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปีที่เหลือ ยังมีเงินลงทุนที่เหลืออยู่อีก 9,000 ล้านบาท จากที่ตั้งงบลงทุนไว้ 15,000 ล้านบาท หลังช่วง 9 เดือนแรกใช้เงินไปแล้ว 6,701 ล้านบาท โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการ (M&A) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน คาดว่า จะปิดดีลได้อย่างน้อย 1 โครงการภายในสิ้นปีนี้

สำหรับเงินลงทุนปี 2565 ตั้งเป้าเงินลงทุนเท่ากับปีนี้ที่ 15,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังผลิตใหม่ให้เติบโต 700 เมกะวัตต์ ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-20% ส่งผลให้บริษัทจะมีรายได้มั่นคงในระยะยาว นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้เพื่อรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิม ซึ่งยังมีกรอบที่จะสามารถออกหุ้นกู้ได้อีก 1,000 ล้านดอลลาร์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียด ส่วนแผนเพิ่มทุนที่วางไว้ 30,000 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2564

ทั้งนี้ แผนดำเนินงานปี 2564-2568 ได้วางเป้าพอร์ตการลงทุนจะเป็นธุรกิจไฟฟ้าสัดส่วน 80% และอีก 20% เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยธุรกิจไฟฟ้าจะเน้นเพิ่มพลังงานหมุนเวียน 25% หรือ 2,500 เมกะวัตต์ ในปี 2568 และ 40%ในปี 2573 จากปัจจุบัน 16% โดยจะเป็นก๊าซอยู่ที่ 5,500 เมกะวัตต์ และถ่านหินไม่เกิน 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเมื่อรวมโครงการไพตัน จะทำให้สัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเดิมอยู่ที่ 888 เมกะวัตต์ ขึ้นไปแตะ 1,900 เมกะวัตต์ ซึ่งจะหยุดการลงทุนเชื้อเพลิงถ่านหินไว้ในระดับนี้ และมุ่งพลังงานหมุนเวียนมากขึ้นที่เคยกำหนดไว้ไม่เกิน 2,000 เมกะวัตต์

สำหรับการดำเนินงาน ที่ผ่านมาพบว่า มีผลกำไรเพิ่มขึ้น และการลงทุนเพิ่มกำลังผลิตใหม่ก็มีแนวโน้มดีกว่าเป้าหมาย 8,874 เมกะวัตต์ คาดว่าจะรับรู้กำลังผลิตประมาณ 1,054 เมกะวัตต์ ทำให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 9,346.35 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการเข้าซื้อหุ้น 45.515% จากบริษัท PT Paiton Energy ที่ดำเนินกิจการโรงไฟฟ้า 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 2,045 เมกะวัตต์ ซึ่งที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ที่ผ่านมา ให้ความเห็นชอบแล้ว และการซื้อหุ้นสามัญและหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ. สหโคเจน (ชลบุรี) สัดส่วน 51% ซึ่งดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าเอสพีพีระบบโคเจเนอเรชั่น กำลังผลิตรวม 214 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าชีวมวล 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 17.10 เมกะวัตต์ รวมทั้งธุรกิจโซลาร์รูฟด้วย ทั้ง 2 ธุรกรรมคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาส 1 ปี 2565 

นอกจาก ธุรกิจผลิตไฟฟ้าแล้ว บริษัทยังมีการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เพิ่มขึ้นจนถึงปัจจุบันมีมูลค่าลงทุนรวมทั้งสิ้น 11,689 ล้านบาท โดยการลงทุนในปีนี้ ประกอบด้วย การเข้าซื้อหุ้น บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ โครงการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพอัดแท่ง ในสปป.ลาว  การเข้าซื้อหุ้นบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ และบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรมไฟฟ้าและพลังงาน

บริษัทจะรับรู้กำลังการผลิตเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นเป็น 7,321.44 เมกะวัตต์ ซึ่งมาจากโรงไฟฟ้าสหโคเจน ที่รับรู้กำลังการผลิตจากการลงทุนรวม 123.33 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเรียว อินโดนีเซีย กำลังผลิต 145.15 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนดเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าปลายปีนี้     

นอกจากผลิตไฟฟ้าขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแล้ว บริษัทยังทำธุรกิจโซลาร์ รูฟติดตั้ง Solar บนหลังคาบ้าน และอุตสาหกรรมดำเนินการแล้ว 60 เมกะวัตต์ และมีแผนพัฒนาโซลาร์ รูฟท็อปในอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ ศรีราชา ไม่เกินขนาด 25 เมกะวัตต์ โครงการนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2565

สำหรับผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนแรกปี 2564 บริษัทมีรายได้รวม จำนวน 29,824.13 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้จากการขายและบริการ และรายได้ตามสัญญาเช่าการเงินของโรงไฟฟ้าที่บริษัทควบคุมจำนวน 24,931.08  ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 83.59% ส่วนแบ่งกำไรของกิจการร่วมทุนและเงินปันผล จำนวน 4,318.05 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 14.48% และรายได้จากดอกเบี้ยและอื่นๆ จำนวน 575 ล้านบาท สำหรับกำไรสำหรับงวด 9 เดือน มีจำนวน 5,648.81 ล้านบาท  คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.90 บาท โดยฐานะการเงินของบริษัท ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 มีสินทรัพย์รวมจำนวน 126,765.41 ล้านบาท หนี้สินจำนวน 58,674.03 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 68,091.38 ล้านบาท  

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์