RATCH เล็งจับมือ กลุ่มสหพัฒน์ ดันเติบโต

RATCH เล็งจับมือ กลุ่มสหพัฒน์ ดันเติบโต

"ราช กรุ๊ป" ทุ่ม 6.69 พันล้าน ซื้อหุ้น "สหโคเจน" 593.48 ล้านหุ้น หรือ 51% ที่ราคา 5.75บาท มูลค่า 3.41 พันล้าน -เทนเดอร์หุ้นที่เหลือ 570 ล้านหุ้น มูลค่า 3.2 พันล้าน เล็งจับมือ"กลุ่มสหพัฒน์" ดันเติบโต ราคาหุ้น "สหโคเจน" พุ่งซิลลิ่งรับข่าว บล.กสิกรไทย เชื่อ กำไรเพิ่มในอนาคต

บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ RATCH  ตั้งเป้าหมายการเติบโตภายในปี 2568  มีกำลังการผลิตแตะ 10,000 เมกวัตต์และเพิ่มมูลค่ากิจการเป็น 200,000 ล้านบาท ปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตรวม 8,292 เมกะวัตต์ ล่าสุดประกาศซื้อหุ้น บริษัท สหโคเจน จำกัด (มหาชน)หรือ SCG  ขณะที่ราคาหุ้นSCG พุ่งแรง ชนซิลลิ่ง 29.25% เพิ่มขึ้น 1.55 บาท ปิดที่ 6.85 บาท  รับข่าวดังล่าว 

นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เข้าซื้อหุ้น SCG จากผู้ถือหุุ้นเดิม SCG จำนวน 34 ราย คือ บมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) 4.82%,บมจ.เอสแอนด์เจอินเตอร์เนชั่นแนลเอนเตอร์ไพรส์ (S&J)   3.17%  , บมจ.ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล (ICC)  5.75%,นายวีรพัฒน์ พูนศักดิ์อุดมสิน  5.24% , บมจ.สหพัฒนพิบูล (SPC) 0.81% และผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆ จำนวน 29 ราย  20.50%  รวม  384.78 ล้านหุ้น คิดเป็น40.29% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ SCG ก่อนการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน  ราคาหุ้นละ 5.75 บาท มูลค่า 2,212.53 ล้านบาท

รวมถึงจะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน SCG  จำนวน 208.69 ล้านหุ้น คิดเป็น  17.93 ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ SCG ในราคาจองซื้อหุ้นละ 5.75 บาท คิดเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 1,199.99 ล้านบาท ซึ่ง ภายหลังการเข้าทำธุรกรรม บริษัทฯ จะได้มาซึ่งหุ้นสามัญของ SCG รวม 593.48 ล้านหุ้น คิดเป็น 51%  ภายหลังจากการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SCG

นอกจากนี้ RATCH จะต้องทำคำเสนอซื้อ (เทนเดอร์)หุ้นที่เหลือทั้งหมดของ SCG อีก 570.21 ล้านหุ้น คิดเป็น 49% ในราคาเดียวกันคือ 5.75 บาทต่อหุ้น มูลค่า 3,278.71 ล้านบาท 

RATCH เล็งจับมือ กลุ่มสหพัฒน์ ดันเติบโต

นางสาวชูศรี กล่าวว่า การเข้าลงทุนในครั้งนี้ เพื่อสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งเเกร่งระหว่างบริษัทซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนา โครงการโรงไฟฟ้าขนาดต่างๆ และกลุ่มสหพัฒน์ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจหลักคือธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคของประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ยังคงสัดส่วนการถือหุ้นใน SCG อย่างมีนัยสำคัญ ที่จะผนึกกำลังกันเสริมสร้างธุรกิจผลิตไฟฟ้าของSCG ให้มีความแข็งแกร่งและเติบโต  รวมทั้ง ยังเป็นการเปิดโอกาสเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในโครงการอื่นๆ กับกลุ่มสหพัฒน์ในอนาคต และสอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในธุรกิจผลิตไฟฟ้า ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ ต่อไป

นางสาวอรมงคล ตันติธนาธร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า  เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการเข้าซื้อหุ้น SCG ของRATCH จากการขยายกำลังการผลิตและการเข้าไปลงทุนโครงการใหม่ทดแทนโครงการที่จะหมดอายุลงเป็นโอกาสที่ดีต่อรายได้และกำไรในในอนาคต    

ทั้งนี้ ปัจจุบันโครงการลงทุนของ SCG ที่มีอยู่มีกำลังการผลิตรวม 231 เมกะวัตต์ ในส่วนนี้ได้ทยอยหมดอายุลงทั้งหมดในปี2566 แต่สามารถต่ออายุได้  และจะมีกำลังผลิตใหม่เพิ่มอีก 76 เมกะวัตต์ มีอายุสัญญา25ปี โดยเข้ามาในปี2567เป็นปีแรก ซึ่งเป็นการขายให้กับภาคอุตสาหกรรมเป็นสัดส่วนใหญ่ ทำให้มีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น

 ขณะที่ประเมินว่าตามวงเงินเพิ่มทุนของ RATCH ในช่วงต้นปี 2565 ยังเพียงพอรองรับการลงทุนนี้และลงทุนโรงไฟฟ้าไพตันด้วย  ในเบื้องต้น RATCH จะถือหุ้น 51%ในSCG ส่วนจะเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ นั้นยังต้องรอผลการทำเทรนเดอร์ในส่วนที่เหลือ 

อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นในปีนี้ RATCH ยังแรงกดดันหลังประกาศเพิ่มทุน และต้องรอดูความชัดเจนการเข้าซื้อหุ้น SCG คาดแล้วเสร็จช่วงต้นปี65ก่อนนักลงทุนถึงกลับมาพิจารณาเข้าลงทุน

ทางด้านบมจ. บี.กริม เพาเวอร์ ( BGRIM) เผย บริษัทย่อย บริษัท ยูนิเวนเจอร์ บีจีพี  จำกัด (UVBGP) ซื้อหุ้น  บริษัท อีสเทอร์น โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (“E-COGEN”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบมจ. อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) เพื่อถือหุ้นโครงการ  โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม 2 โครงการ กำลังผลิต 360 เมกะวัตต์