กลุ่ม ปตท. ปี 64 นำส่งรายได้เข้ารัฐกว่า 8.2 หมื่นล้าน

กลุ่ม ปตท. ปี 64 นำส่งรายได้เข้ารัฐกว่า 8.2 หมื่นล้าน

กลุ่ม ปตท.โชว์งบปี 64 กวาดรายได้ 4.13 ล้านล้านบาท กำไร 2.38 แสนล้าน อานิสงส์ “ราคาขายเพิ่มตามราคาน้ำมันดิบ - ค่าการกลั่น” โบรกเกอร์ คาดปี 65 กำไรโตต่อเนื่อง แรงหนุนราคาน้ำมันดิบพุ่ง - ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น

กลุ่ม ปตท. 7 บริษัท  ได้แก่ บมจ.ปตท. (PTT), บมจ.บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC), บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP), บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC), บมจ.ไทยออยล์ (TOP) และ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ประกาศงบปี 2564

โดยกลุ่ม ปตท. มีรายได้รวม 4.13 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวม 3.02 ล้านล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 2.38 แสนล้านบาท โต 253% จากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 6.74 หมื่นล้านบาท

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. ระบุว่า ปี 2564 ปตท.มีรายได้จากการขาย 2.25 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 643,153 ล้านบาท หรือ 39.8% จากปี 2563 ที่ 1.61 ล้านล้านบาท จากทุกกลุ่มธุรกิจ โดยหลักจากธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น และธุรกิจน้ำมันจากราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากปีก่อน 

สำหรับ ปี 2564 ปตท.มี EBITDA 427,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 202,284 ล้านบาท หรือ 89.6% จากปี 2563 ที่ 225,672 ล้านบาท โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่เพิ่มขึ้น รวมถึงส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับวัตถุดิบที่ปรับสูงขึ้นทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์

กลุ่ม ปตท. กำไร

นอกจากนี้มีกำไรสต็อกน้ำมันของกลุ่ม ปตท. 46,000 ล้านบาท ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 108,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70,597 ล้านบาท หรือมากกว่าร้อยละ 100.0 จากในปี 2563 ที่จำนวน 37,766 ล้านบาท 

คาดปี 64 รายได้รวม 4 ล้านล้าน

นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า บล.กสิกรไทย คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานของกลุ่ม ปตท. ปี 2565 จะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน โดยหลักมาจากการเติบโตของ PTTEP ,TOP และ OR เพราะ ราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับขึ้นร้อนแรง ส่งผลบวกต่อราคาขายและอัตรากำไร (มาร์จิ้น) รวมถึงค่าการกลั่นที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี หากพิจารณารายธุรกิจ คาดว่ากำไรกลุ่มปิโตรเคมี PTTGC และ IRPC จะลดลงตามส่วนต่างราคาขาย (สเปรด) ที่ลดลง

ดังนั้น การลงทุนจึงแนะนำซื้อ PTTEP แม้ราคาหุ้นจะปรับขึ้นเกินราคาเหมาะสมที่ฝ่ายวิจัยให้ไว้ที่ 130 บาทต่อหุ้นไปแล้ว แต่ด้วยแนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่พุ่งสูงกว่าสมมติฐานที่ บล.กสิกรไทย ประเมินไว้ที่ 69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้ที่กลับมาเพิ่มขึ้นภายหลังหลายประเทศทยอยเปิดเศรษฐกิจจากช่วงโควิด-19 ปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจากแหล่งบงกช และเอราวัณจึงมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2565 และราคาเหมาะสมในระยะถัดไป

นอกจากนี้ ยังแนะนำซื้อ TOP จากแรงหนุนค่าการกลั่นยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ ราคาเหมาะสม 60.80 บาทต่อหุ้น และ OR จากแรงหนุนความต้องการใช้น้ำมันที่ฟื้นตัว

งบออกมาดีเกินคาด

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมกำไรกลุ่ม ปตท.งวดไตรมาส 4 ปี 2564 และปี 2564 หากไม่รวมกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี ถือว่าออกมาดีกว่าคาดการณ์ โดยเฉพาะ PTTEP และ OR ขณะที่ TOP ใกล้เคียงกับประมาณการ ส่วน PTTGC แย่กว่าที่คาดการณ์จากการตั้งสำรองโครงการในอดีตและคดีความของบริษัทย่อย

ในส่วนของผลการดำเนินงานปี 2565 คาดว่าแนวโน้มจะดีต่อเนื่อง ยกเว้นกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีที่ผ่านจุดที่ดีที่สุด (จุดพีค) ไปแล้วในปี 2564  ขณะที่ธุรกิจต้นน้ำอย่าง PTTEP ยังได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นร้อนแรง ภายหลังราคาน้ำมันดิบดูไบปรับขึ้นทะลุสมมติฐานที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ระหว่าง 71-76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และมีโอกาสปรับขึ้นทดสอบระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แนะนำซื้อที่ราคาเหมาะสม 145 บาทต่อหุ้น

 รวมถึงธุรกิจโรงกลั่น TOP ที่ได้แรงหนุนจากค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (1 ม.ค. - 17 ก.พ.2565) ค่าการกลั่นพุ่งแตะ 8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งปี 2564 ขณะที่ภาพรวมกำไรสุทธิของ TOP คาดว่าจะดีขึ้นทั้งกำไรจากการดำเนินงานและกำไรจากสต็อกน้ำมัน ราคาเหมาะสม 65 บาทต่อหุ้น และสุดท้ายคือ OR ได้แรงหนุนจากปริมาณการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ราคาเหมาะสม 31 บาทต่อหุ้น

“ปตท.สผ.” เด่น 

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมกำไรไตรมาส 4 ปี 2564 และกำไรปี 2564 ของกลุ่ม ปตท. อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี โดยหลักได้แรงหนุนจากสต็อกน้ำมัน ขณะที่แนวโน้มปี 2565 คาดว่ากำไรของกลุ่ม ปตท. จะมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง จากปัจจัยหนุนราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นร้อนแรง ล่าสุด ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับขึ้นสูงกว่าสมมติฐานที่ฝ่ายวิจัยให้ไว้ที่ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

นอกจากนี้ ยังได้ปัจจัยหนุนจากปริมาณการขายน้ำมันที่เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยคาดว่าปริมาณการขายปี 2565 จะฟื้นตัวราว 4-5% จากปี 2563 และปี 2564 ถูกกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสุดท้ายคือ ค่าการกลั่นที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าค่าการกลั่นเฉลี่ยปี 2565 จะอยู่ที่ 5-6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากค่าเฉลี่ยปี 2564 ที่ 3.43 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

สำหรับการลงทุน แนะนำ PTT ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของกำไรบริษัทลูก ราคาเหมาะสม 45 บาทต่อหุ้น PTTEP ได้ประโยชน์สูงสุดจากราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับขึ้น ส่งผลบวกต่อราคาขาย ราคาเหมาะสม 149 บาทต่อหุ้น และ IRPC ได้แรงหนุนจากราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปที่ปรับขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ อีกทั้งคาดว่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันดิบ ราคาเหมาะสม 4.60 บาทต่อหุ้น

 

พิสูจน์อักษร  โดย....สุรีย์   ศิลาวงษ์