กลยุทธ์การลงทุน วัฏจักรเงินทุนไหลเข้ารอบนี้... ยังไปต่อได้อีก

กลยุทธ์การลงทุน วัฏจักรเงินทุนไหลเข้ารอบนี้... ยังไปต่อได้อีก

จากวัฏจักรเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทยระลอกก่อน ๆ เราคิดว่าวัฏจักรรอบนี้ยังน่าจะไปต่อได้อีก และตลาดหุ้นไทยยังมี upside อีก

เมื่อมองย้อนไปพิจารณากระแสเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทยรอบใหญ่ ๆ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เรา
พบว่ายอดซื้อสุทธิสะสมเฉลี่ยของแต่ละรอบอยู่ที่ 1.40 แสนล้านบาท ในขณะที่อัตราผลตอบแทนดัชนี
SET ตั้งแต่ต้นจนจบของวัฏจักรเงินทุนไหลเข้าแต่ละรอบอยู่ที่ 22% โดยในรอบนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อ
สุทธิสะสม 1.01 แสนล้านบาทตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 ในขณะที่ผลตอบแทนของตลาดในช่วง
เดียวกันอยู่ที่ 12% ดังนั้น เราจึงเชื่อว่าน่าจะยังมีกระแสเงินทุนไหลเข้ามาอีก และตลาดหุ้นไทยน่าจะยัง
มี upside อีกในวัฏจักรรอบนี้

 

ตลาดสะท้อนท่าที Hawkish ของ Fed ไปแล้วอย่างรวดเร็ว ในขณะที่การวิเคราะห์กระแสเงินทุนชี้ว่า
ดัชนี SET จะขึ้นต่อไปได้ถึง 1,890 จากเป้าอย่างเป็นทางการของเราที่ 1,820

 

การขยับของนักลงทุนในปัจจุบันค่อนข้างลื่นไหลมาก และน่าจะตอบรับนโยบายของ Fed ในช่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว โดย CME Fed Fund Future พยากรณ์ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 50bps ในเดือนมีนาคม และ Fed Fund Rate จะขึ้นไปถึง 2.0% ภายในสิ้นปีนี้ เรามองว่าตลาดคาดหวังว่า Fed จะตัดสินนโยบายในเชิงรุก ดังนั้นเมื่อ Fed ดำเนินนโยบายจริง ๆ ไม่น่าจะกระทบตลาดแล้ว ทั้งนี้ เมื่ออิงจากอัตราผลตอบแทนของตลาดเฉลี่ยในช่วงที่มีกระแสเงินทุนไหลเข้าระลอกใหญ่ในวัฏจักรรอบก่อน ๆ เราคิดว่าดัชนี SET อาจจะขยับขึ้นได้ถึง 22% นับตั้งแต่เริ่มเกิดกระแสเงินทุนรอบนี้ ซึ่งหมายความว่าดัชนี SET จะขึ้นต่อไปได้ถึง 1,890 จุด จากเป้าอย่างเป็นทางการของเราที่ 1,820

 

 

แรงขายจากนักลงทุนสถาบันในประเทศจะลดลงในระยะต่อไป

ตั้งแต่ต้นปี 2565 นักลงทุนสถาบันในประเทศขายหุ้นไทยสุทธิ 5.15 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก i) ความไม่แน่นอนทางด้านมหภาคเกี่ยวกับนโยบายการเงินของสหรัฐ ii) การไถ่ถอนกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ทั้งนี้ ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าตลาดทั่วโลกคาดเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า Fed จะขยับเชิงรุก ในขณะที่ การไถ่ถอน LTF น่าจะครอบคลุม LTF ส่วนใหญ่ที่ครบกำหนดไถ่ถอนได้ในปี 2565 (ประมาณ 6 หมื่นล้านบาทตามข้อมูลของ AIMC) ไปแล้ว ดังนั้น เราจึงคาดว่าแรงขายจากนักลงทุนสถาบันจะชะลอตัวลงในเร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ จากการที่เราได้พูดคุยกับนักลงทุนสถาบันเป็นประจำทำให้เราเชื่อว่านักลงทุนสถาบันยังมองบวกในระยะยาวกับแนวโน้มดัชนี SET ในปี 2565 และกองทุนในประเทศอาจจะกลับทิศการลงทุนมาเป็นซื้อสุทธิได้เมื่อความไม่แน่นอนด้านปัจจัยมหภาคโลกลดลง

 

ตลาดจะยังผันผวนก่อนการตัดสินใจของ Fed เราแนะนำให้ฉวยโอกาสเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดแกว่งตัว

เนื่องจากเงินเฟ้อทั่วโลกยังอยู่ในระดับสูง แม้จะมีแนวโน้มว่าอยู่ระดับสูงสุดแล้ว และน่าจะขยับลดลงในเร็ว ๆ นี้ ในขณะที่นักลงทุนยังมีความกังวลก่อนการประชุม FOMC วันที่ 16 มีนาคม เราจึงคิดว่า ตลาดน่าจะยังผันผวนก่อนการตัดสินใจของ Fed เราแนะนำให้นักลงทุนฉวยโอกาสเข้าซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดแกว่งตัว ทั้งนี้ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรและอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกกำลังอยู่ในขาขึ้นอย่างชัดเจน เราจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นประเภท growth stock ที่มีราคาแพง และเน้นหุ้น value stock และ big-cap ที่ราคาหุ้นสมเหตุสมผล โดยหุ้นที่เราคัดมาแล้วว่าน่าลงทุนได้แก่ KBANK*, SCB*,PTT*, ADVANC*, INTUCH*, CPALL*, MAKRO*, AOT*, MINT*, LH* และ BDMS*