PFund-REITs-IFF แข็งแกร่งพอจะรับมือกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น

PFund-REITs-IFF แข็งแกร่งพอจะรับมือกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรขยับขึ้นมาทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1.8% ในช่วงที่เกิดโรคระบาดในเดือนมกราคม 2565 จาก 1.51% เมื่อสิ้นปี 2564

โดยอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น สะท้อนว่านักลงทุนเริ่มต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น เนื่องจากคาดว่าอัตราเงินเฟ้อรายปีจะสูงเกิน 2% ในระยะยาว ซึ่งถ้าธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเท่าไหร่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยกำลังจะเริ่มขยับขึ้น โดยนักลงทุนคาดว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดเอาไว้ก่อนหน้านี้

 

คาดว่า Yield gap จะช่วยปกป้องความเสี่ยงจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น

เมื่อพิจารณา yield gap ระหว่างกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ10 ปี (Figure 6) เรามั่นใจว่า การลงทุนใน PFund-REITs-IFF จะยังคงน่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยเฉพาะบางกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ถึงแม้ข่าวเรื่องอัตราผลตอบแทนในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นจะสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนบางราย แต่เราเชื่อว่าการเข้าซื้อกองทุนที่ถูกจังหวะตามเกณฑ์ที่เราแนะนำจะค่อนข้างปลอดภัย และไม่ต้องกังวลกับการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอีกสองสามปีข้างหน้า ซึ่งหากพิจารณาจาก yield gap (ระหว่างกองทุนอสังหาริมทรัพย์กับพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ) เฉลี่ยจะอยู่ที่ 3% ในปี 2564 จาก 3.6%-4.3% ในช่วงปี 2562-63 โดยในปี 2565 yield gap น่าจะอยู่ในระดับค่อนข้างสูงที่เกือบ 5.7%

 

 

 

ประเทศไทยจะเดินหน้ามาตรการเปิดประเทศต่อไป

หลังจากที่ COVID-19 กลับมาระบาดระลอกใหม่จากสายพันธุ์ Omicron รัฐบาลไทยยังคงนโยบายผ่อนคลายมาตรการคุมโรคระบาดเอาไว้เหมือนเดิม เพราะคาดว่าสายพันธุ์ใหม่จะไม่มีอาการรุนแรงเท่ากับสายพันธุ์ Delta ที่ระบาดก่อนหน้านี้ ซึ่งจากทิศทางนี้ ยังคงเป็นไปตามที่เราระบุเอาไว้เมื่อเดือนที่แล้ว เรามองว่า ภาวะทางธุรกิจและกิจกรรมทางธุรกิจใน 1Q65 มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 4Q64 เนื่องจาก i) สถานการณ์ COVID-19 ผ่านช่วงเลวร้ายที่สุดไปแล้วใน 3Q64 ii) มีการกระจายวัคซีนเป็นวงกว้างแล้วในประเทศไทย (45% ได้รับเข็ม 1 แล้ว และ 42% ได้รับ 2 เข็มแล้ว) และ iii) ข้อจำกัดในการคุมโรคระบาดน่าจะลดลงในระยะต่อไป

 

JASIF, DIF และ HREIT จัดเป็นกองทุนแถวหน้าที่น่าเข้าลงทุน

เรายังคงชอบกองทุนที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดน้อย ได้แก่ i) Jasmine Broadband Internet
Infrastructure Fund (JASIF.BK/JASIF TB) ii) Digital Telecommunications Infrastructure Fund
(DIF.BK/DIF TB) และ iii) Hemaraj Leasehold Real Estate Investment Trust (HREIT.BK/HREIT TB)
ซึ่งได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงถึง 8%-9% ต่อปี และราคาหน่วยที่ไม่แพง
(P/NAV <1)

 

ทางเลือกที่สองได้แก่ ALLY, GROREIT, CPNREIT และ BTSGIF

เราคาดว่าผลการดำเนินงานของบางกองทุนจะดีขึ้นเนื่องจากสามารถคุมการระบาดระลอกใหม่เอาไว้ได้
โดยกองประเภทนี้ได้แก่ i) Ally Leasehold Real Estate Investment Trust (ALLY.BK/ALLY TB) ii)
Grande Royal Orchid Hospitality Real Estate Investment Trust with Buy-Back Condition
(GROREIT.BK/GROREIT TB) iii) CPN Retail Growth Leasehold (CPNREIT.BK/CPNREIT TB)
และ iv) BTS Rail Mass Transit Growth Infrastructure Fund (BTSGIF.BK/BTSGIF TB)

 

 

 

Recommendation

เรายังคงเลือก JASIF, DIF, HREIT, ALLY และ GROREIT เป็นกองเด่นจากแนวโน้มผลประกอบการและอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดี

 

Risks

COVID-19 ระบาด, เศรษฐกิจชะลอตัวลง, การเมืองขาดเสถียรภาพ