กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ 24-28 มกราคม: ยังอยู่ในช่วงการปรับฐาน

กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ 24-28 มกราคม: ยังอยู่ในช่วงการปรับฐาน

ในสัปดาห์ที่แล้ว (17-21 มกราคม) ตลาดหุ้นไทยเกิด corrective ซึ่งเป็นไปตามมุมมองรายสัปดาห์ของเรา เนื่องจากภาวะความเสี่ยง และกระแสเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นลดลงตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง

และความกังวลของตลาดก่อนการประชุม FOMC ในช่วงกลางสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มที่มีราคาแพง หรือ outperform กลุ่มในช่วงก่อนหน้า พลิกมาอยู่ในโหมด underperform เนื่องจากนักลงทุนเปลี่ยนกลุ่มมาลงทุนในกลุ่ม value และ laggard แทน ดังนั้น ตลาดหุ้นไทยจึงยืนได้ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะดัชนี SET มี exposure กับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีค่อนข้างจำกัด ในขณะที่ราคาของหุ้น large-cap ส่วนใหญ่ยั'เคลื่อนไหวในระดับที่สมเหตุสมผล ดังนั้น จึงไม่ได้ถูกกระทบมากนักจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น

สำหรับในสัปดาห์นี้ (24-28 มกราคม) เราคาดว่าดัชนี SET จะยังคงผันผวน และอาจจะย่อลงอีก ทั้งนี้ จะมีปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคสหรัฐสองสามตัวที่อาจจะทำให้ตลาดหุ้น Wall Street และตัวชี้วัดภาวะตลาดที่สำคัญอย่างเช่น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และดัชนี US dollar index ผันผวนต่อเนื่อง ดังนั้น เราจึงคาดว่าน่าจะมีการโยกเงินลงทุนจากหุ้นกลุ่ม high flyers มาเป็นกลุ่ม value stocks ต่อไปอีก ในขณะเดียวกัน ผลการประชุม FOMC และการเปิดเผยตัวเลข GDP 4Q64 ของสหรัฐ และดัชนีเงินเฟ้อ PCE เดือนธันวาคมจะเป็นปัจจัยมหภาคสำคัญที่ต้องจับตา อย่างไรก็ตาม เมื่ออิงจากจากการวิเคราะห์ earnings yield gap (EYG) เรามองว่าดัชนี SET มี downside จำกัดอยู่ที่ประมาณ 1,600 จุด อิงจาก EYG ที่ 4.0%, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปีที่ 2.30% และประมาณการ EPS ปี 2565F ของเราที่ 100 ทั้งนี้ จากมุมมองระยะยาวของเราว่าสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่ Fed เริ่มขึ้นดอกเบี้ยจริง ๆ แล้ว เราจึงเชื่อว่าตลาดทที่ย่อลงมาในระยะสั้นจะเป็นโอกาสให้เข้าซื้อหุ้น

 

 

ติดตามตัวเลขมหภาคของสหรัฐ โดยเฉพาะผลการประชุม Fed และกระแสข่าวการเมืองไทย

(0/-) ปัจจัยมหภาคที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ตลาดจะทราบผลการประชุม FOMC ในคืนวันที่ 26 มกราคม ตามเวลาท้องถิ่น โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าจะยังไม่มีการปรับนโยบายการเงินในการประชุมรอบนี้ แต่คาดว่า Fed น่าจะเตรียมส่งสัญญาณต่อตลาดเกี่ยวกับการยุติ QE และการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งคาดว่าจะมีการดำเนินการจริงทั้งสองเรื่องในเดือนมีนาคม 2565 ทั้งนี้ นักลงทุนควรจับตาว่าตลาดพันธบัตรสหรัฐจะตอบรับประกาศของ FOMC อย่างไร

(0) กระแสข่าวสถานการณ์การเมืองไทย นักลงทุนควรติดตาม i) กระแสข่าวเกี่ยวกับการที่พรรคพลังประชารัฐมีมติขับ 21 สส. ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งมีรายงานว่า สส. กลุ่มดังกล่าวจะเข้าไปร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นในเร็ว ๆ นี้ ii) การเริ่มกระบวนการรัฐสภาในการพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญสองฉบับเพื่อปูทางไปสู่การเลือกตั้งในอนาคต

 

ยังคงเน้นหุ้นกลุ่มหลักที่มีลักษณะเป็ น value และ laggard stocks ซึ่งน่าจะยืนได้ในช่วงที่ตลาดโลกผันผวน

เนื่องจากเรามองว่าตลาดหุ้นน่าจะเกิด correction ต่อเนื่องในระยะสั้น และจะมีการโยกไปเข้าหุ้น value plays เพิ่มอีก ดังนั้น นักลงทุนจึงควรเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มหลักที่ราคาค่อนข้างต่ำ ซึ่งเรามองว่าในกลุ่มธนาคาร BBL* และ KTB* เข้าธีมนี้ ส่วนหุ้นกลุ่มหลักอื่น ๆ เราชอบ PTT* และ LH* ในขณะเดียวกันเรายังคงมองว่าการกลับมาใช้กระบวนการ Test & Go ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์จะส่งผลบวกต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อย่างเช่น AOT* และ MINT*