โครงการ TISA จูงใจคนไทยให้ออมได้จริงหรือ?

โครงการ TISA จูงใจคนไทยให้ออมได้จริงหรือ?

กลายเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในแวดวงตลาดทุนและกลุ่มผู้เสียภาษี สำหรับโครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล (Thailand Individual Savings Account หรือ TISA) ส่งเสริมการออมระยะยาวให้ประชาชน

    โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อย ที่เป็นกลุ่มมีช่องว่างการออมสูงสุด เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยกำหนดให้ประชาชนลงทะเบียนผ่านบัญชี TISA ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2569  สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหลักทรัพย์รายตัว, กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG), หรือกองทุนรวมใหม่ๆ โดยไม่จำกัดวงเงินในแต่ละประเภทวงเงินลดหย่อนสูงสุด:กำหนดเพดานไว้ที่ไม่เกิน 800,000 บาท
    ทั้งนี้การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหรือไถ่ถอนหลักทรัพย์ใน TISAได้กำหนดหลักเกณฑ์การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกรณีการถือหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่า 5 ปีรวมถึงกรณีการไถ่ถอนหลักทรัพย์เมื่ออายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีการขายหรือไถ่ถอนเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มผ่าน TISA และการรับเงินปันผล ดอกเบี้ย เงินส่วนแบ่งกำไร รวมทั้งกระทรวงการคลังได้กำหนดเงื่อนไขในการนำหลักทรัพย์ใน TISA ไปเป็นหลักประกันได้เพื่อความยืดหยุ่นของประชาชน โดยจะมีการกำหนดเงื่อนไข เช่น การรักษาพยาบาลตนเองหรือการรักษาผู้เยาว์ในปกครองรวมถึงการนำไปใช้สำหรับการศึกษาของผู้เยาว์ในปกครอง

    นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่าโครงสร้างของ TISA สะท้อนเจตนาในการลดภาระทางการคลังเป็นเป้าหมายหลัก ก่อนจะไปถึงการส่งเสริมการออม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ผู้ที่รายได้เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปีหักลดหย่อนได้เพียง 0.7 เท่าของเงินลงทุนจริง สูงสุดไม่เกิน 560,000 บาท ส่วนกลุ่มผู้มีเงินได้ไม่ถึง 1.5 ล้านบาทต่อปี หักลดหย่อนได้ 1.3 เท่า ของเงินลงทุนจริง สูงสุดไม่เกิน 1.04 ล้านบาท เปรียบเสมือนการแก้ไขข้อบกพร่องเดิม และเป็นความพยายามในการ “ลดความเหลื่อมล้ำ” เพื่อจูงใจให้คนกลุ่มนี้หันมาเริ่มต้นออมเงินมากขึ้น

    ผู้มีรายได้สูงอาจได้สิทธิ์ลดหย่อนน้อยลง ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้มีรายได้สูง ซึ่งมีฐานภาษี 30-35% โดยปรับลดสิทธิ์ของคนกลุ่มนี้ให้เหลือเพียง 0.7 เท่าของเงินลงทุน ว่ากันว่าสามารถลดปริมาณเงินที่สามารถนำไปลดหย่อนได้ลงอย่างน้อย 30%จะทำให้รัฐบาลสามารถลดการ “อุดหนุน” ทางภาษีและมีรายได้เพิ่มขึ้นแต่การไปทอนสิทธิประโยชน์ของกลุ่มผู้มีรายได้สูงซึ่งเป็นทั้ง“กลุ่มผู้ลงทุนหลักและผู้เสียภาษีหลัก”อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อปริมาณเม็ดเงินลงทุนโดยรวมในตลาดทุนได้เพราะแรงจูงใจของคนกลุ่มนี้ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
    ดูเหมือนมาตรการที่ประกาศออกมาโยนหินถามทางไม่ได้เปรี้ยงปร้าง สร้างความสนใจให้กับตลาดเท่าใดนักแม้จะมีเจตนาที่ดีในการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย แต่ในขณะเดียวกัน การลดทอนสิทธิของกลุ่มผู้มีรายได้สูง และเงื่อนไขการถือครองที่ยาวนาน ก็ได้สร้างข้อกังวลและลดทอนแรงจูงใจในภาพรวมลงคำถามสุดท้ายที่ต้องติดตามกันต่อไปคือ มาตรการนี้จะสามารถบรรลุเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ และเป็นประโยชน์ต่อผู้เสียภาษีได้อย่างที่คาดหวังหรือไม่