‘ทุนไทย’ เล็งย้ายฐานผลิตหนีกัมพูชา การ์เมนต์เสี่ยงสูง ‘แบรนด์ไทย’ รับมือล่าแม่มด

‘ทุนไทย’ เล็งย้ายฐานผลิตใหม่ ‘การ์เมนต์’ ชี้โรงงานกัมพูชาเสี่ยงสูง-แบรนด์ไทยรับมือล่าแม่มด ตัดรายได้จากกัมพูชา ออกจากสมการธุรกิจ
KEY
POINTS
- ผู้ประกอบการการ์เมนต์ กำลังพิจารณาย้ายฐานการผลิตออกจากกัมพูชาหรือกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น 2-3 เท่า ปัญหาโลจิสติกส์จากการปิดด่าน และการสูญเสียสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) จากสหรัฐ และยุโรป
- ธุรกิจเครื่องนุ่งห่มซึ่งเป็นโรงงาน OEM เพื่อการส่งออก ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้ลดกำลังการผลิตลงแล้ว และเผชิญกับซัพพลายเชนที่สะดุดจากการขนส่งวัตถุดิบที่ล่าช้า ทำให้ต้องหันไปสั่งผ้าจากเวียดนามแทน
- แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคของไทยในกัมพูชาเผชิญกับกระแสต่อต้าน และปรากฏการณ์ "ล่าแม่มด" โดยมีอินฟลูเอนเซอร์สร้างคอนเทนต์ตำหนิร้านค้าที่ยังขายสินค้าไทย ส่งผลให้ยอดขายลดลง เช่น คาราบาวที่ยอดขายหายไปหลายร้อยล้านบาท
- บริษัทไทยหลายแห่งได้ปรับกลยุทธ์โดยใช้ภาษา และธงชาติกัมพูชาบนบรรจุภัณฑ์เพื่อให้ดูเหมือนเป็นสินค้าท้องถิ่น และต้องพับแผนการทำตลาดภายใต้แบรนด์ไทยไว้ก่อน
การปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มต้นรอบที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2568 ต่อเนื่องจากการปะทะรอบแรกเมื่อวันที่ 24-28 ก.ค.2568 การสู้รบดังกล่าวส่งผลให้เกิดการปิดด่านชายแดน 18 แห่ง ตลอดแนวชายแดนความยาว 800 กิโลเมตร ที่ติดกับ 7 จังหวัดของไทย ได้แก่ ตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
รวมทั้งทำให้บริษัทไทยที่ลงทุนในกัมพูชาได้ปรับแผนธุรกิจ โดยได้ให้พนักงานคนไทยกลับประเทศ รวมทั้งบางบริษัทได้ตัดประมาณการรายได้ออกจากแผนธุรกิจ
นายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนกัมพูชาที่ทวีความเข้มข้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ยังประเมินไม่ได้ชัดเจนว่าจะยุติได้ภายในกี่วัน และต้องติดตามใกล้ชิด
ขณะที่ผลกระทบด้านเศรษฐกิจยังคง “เหมือนเดิม” เพราะด่านชายแดนถูกปิดแบบ 100% ต่อเนื่อง โดยไม่เปิดบางส่วนเหมือนครั้งก่อน ทำให้ผลกระทบการค้าชายแดนและการขนส่งสินค้าไม่ต่างจากเดิมนัก
“ถ้าความตึงเครียดจบใน 2-3 วัน ผลกระทบจะเป็นแบบหนึ่ง แต่ถ้ายืดเยื้ออีก 1-2 สัปดาห์ ความเสียหายอาจเปลี่ยนไปอีกแบบจึงประเมินไม่ได้” นายวรทัศน์ กล่าว
สำหรับนักธุรกิจไทยที่ประกอบกิจการในกัมพูชา ขณะนี้ยังไม่มีการประชุมหรือหารืออย่างเป็นทางการกับสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา โดยขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังอยู่ในโหมดที่ต้องติดตามสถานการณ์ของทั้ง 2 ประเทศ อย่างใกล้ชิด ในขณะเดียวกันยังไม่มีรายงานเพิ่มเติมว่าธุรกิจไทยในพื้นที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติมหรือไม่
ลดกำลังการผลิตโรงงานในกัมพูชา
นายถาวร กนกวลีวงศ์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ตั้งฐานการผลิตในกัมพูชามีอยู่บริษัทขนาดใหญ่ 5-10 ราย โดยส่วนใหญ่ได้ลดกำลังการผลิตลงตั้งแต่ที่ไทย และกัมพูชาปิดด่านการค้าระหว่างกัน
ทั้งนี้ การปะทะล่าสุดสร้างความกังวลให้ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น โดยธุรกิจที่กัมพูชาดำเนินธุรกิจต่อลำบาก เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเริ่มเข้าไปลงทุนมีความแตกต่างกันมาก
“ผู้ประกอบการเครื่องนุ่งห่มส่วนใหญ่ที่ลงทุนในกัมพูชาเป็นโรงงาน OEM ที่ใช้เป็นฐานผลิตเพื่อการส่งออก ดังนั้น แนวโน้มน่าจะเป็นในเชิงลบ และแย่ลงจึงต้องรอดูสถานการณ์อีกระยะ” นายถาวร กล่าว
นอกจากนี้ ตั้งแต่เกิดการปะทะครั้งแรก ภาคธุรกิจยังไม่มีแนวโน้มจะลงทุนหรือขยายเพิ่มเติมในระยะสั้นถึงกลาง เนื่องจากความไม่แน่นอนของปัจจัยหลายด้านทั้งต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น รวมถึงปัญหาด้านโลจิสติกส์ และข้อได้เปรียบทางภาษีของกัมพูชาที่ลดลง
“ตอนนี้หลายโรงงานที่กัมพูชา โดยเฉพาะในเขตพนมเปญ เดิมตั้งขึ้นเป็นฐานการผลิตที่ 2-3 ของโรงงานในไทย แต่ยังใช้ฐานลูกค้า และวัตถุดิบหลักจากกรุงเทพฯ เมื่อด่านชายแดนไม่เปิดทำให้การขนส่งผ้าต้นน้ำจากไทยล่าช้า จากปกติทางรถใช้ 3 วัน ต้องเปลี่ยนเป็นทางเรือใช้เวลา 2 สัปดาห์ ทำให้ซัพพลายสะดุด หลายรายเริ่มสั่งผ้าจากเวียดนามแทน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าครึ่งหนึ่งของการใช้ผ้าไทย” นายถาวร กล่าว
“การ์เมนต์” มองฐานผลิตใหม่แทนกัมพูชา
ทั้งนี้ ต้นทุนการผลิตในกัมพูชาสูงขึ้น 2-3 เท่า จากทั้งค่าขนส่ง และแรงงาน โดยรัฐบาลกัมพูชาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 250 บาทต่อวัน เป็น 300 บาท เพื่อดึงแรงงานกลับประเทศ ขณะที่ค่าแรงไทยอยู่ที่ราว 400 บาทต่อวัน ทำให้ความได้เปรียบด้านค่าแรงเหลือเพียง 20% เท่านั้น โดยแรงงานกัมพูชาหลายส่วนยังต้องการเดินทางกลับมาทำงานในไทยจำนวนมากเพราะรายได้ยังสูงกว่า
นายถาวร กล่าวว่า เดิมข้อได้เปรียบสำคัญของกัมพูชา คือ การได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) จากสหรัฐ และสหภาพยุโรป (EU) แต่ปัจจุบันสิทธิพิเศษดังกล่าวหมดลงแล้ว โดย EU ยกเลิกสิทธิเมื่อปี 2020 ส่วนสหรัฐปรับให้เท่ากับประเทศอื่น ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการส่งออกของกัมพูชาไม่ต่างจากไทย เวียดนามหรืออินโดนีเซียอีก
“ถ้าด่านชายแดนยังไม่เปิดเต็มรูปแบบในเร็ววัน ธุรกิจเครื่องนุ่งห่มจากกัมพูชาจะได้รับผลกระทบมากขึ้น เพราะต้นทุนสูงทำให้ลูกค้าสั่งออร์เดอร์ลดลง โรงงานไทยหลายแห่งอาจทยอยลดกำลังผลิตในกัมพูชา และหันกลับมาผลิตในประเทศแทน” นายถาวร กล่าว
นอกจากนี้ อีก 2-3 ปีข้างหน้า แนวโน้มขยายธุรกิจในกัมพูชาน่าจะลดลงต่อเนื่อง หากสถานการณ์ชายแดน และต้นทุนไม่ดีขึ้น ทำให้มีโอกาสสูงที่ผู้ประกอบการจะทยอยถอนฐานการผลิตกลับไทยหรือย้ายไปประเทศอื่นแทน
ยอดขายตลาดกัมพูชาลดลง
สำหรับความขัดแย้งไทย-กัมพูชา กินเวลายาวนานกว่า 5 เดือนแล้ว โดยล่าสุดได้เกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดนหลายจุดมาตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการตอกย้ำปมขัดแย้งบริเวณชายระหว่าง 2 ประเทศอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จากการสำรวจภาคธุรกิจไทยที่มีฐานธุรกิจหรือมีโรงงานอยู่ในประเทศกัมพูชา ต่างได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า รวมถึงผู้ประกอบการที่ไม่ได้มีโรงงาน แต่มีการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายที่กัมพูชา และมีการค้าขายบริเวณชายแดน ต่างต้องเผชิญกับยอดขายที่ปรับตัวลดลงอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ มีแบรนด์ไทยหลายแบรนด์ที่เปิดเผยผลกระทบจากตลาดกัมพูชา เช่น บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่มีการจำหน่ายสินค้าทั้งผลิตภัณฑ์นม น้ำผลไม้ และน้ำมะพร้าว ในไตรมาส 3 ยอดขายลดลง 2.3% และปัจจัยหลักมาจากผลิตภัณฑ์นมที่จำหน่ายในกัมพูชาชะลอตัว
ส่วนบริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) มียอดขายในตลาดกัมพูชาลดลง 7-8 ล้านบาทต่อเดือน โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีผลกระทบต่อเนื่อง และกำลังอยู่ในโหมดหนักสุด
ปรับบรรจุภัณฑ์หนี “ล่าแม่มด”
แหล่งข่าววงการธุรกิจ กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ความขัดแย้งของ 2 ประเทศไทยและกัมพูชา ได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคของหลายบริษัทค่อนข้างมาก โดยบางบริษัทได้รับผลกระทบเบื้องต้นประเมินมูลค่าหลัก 1,000 ล้านบาท ถึงแม้จะเป็นสินค้าที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 80%
แหล่งข่าว กล่าวว่า จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้หลายบริษัทได้ปรับตัวหลายด้าน ทั้งมีการใช้ภาษากัมพูชาบนผลิตภัณฑ์ มีการนำธงชาติกัมพูชาติดไว้บนบรรจุภัณฑ์ให้เป็นเหมือนสินค้าของในประเทศหรือโลคัล ส่วนการทำตลาดภายใต้แบรนด์ไทยต้องพับแผนไว้ก่อน
ทั้งนี้ การที่มีธุรกิจในหลายประเทศ และดำเนินธุรกิจในกัมพูชานานหลายสิบปี มองว่าผู้ประกอบการไทยสามารถยืนหยัดอยู่ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาตลาดประเทศกัมพูชา ซึ่งการดำเนินธุรกิจปัจจุบันตัดกัมพูชาออกจากสมการธุรกิจ เพื่อไม่ให้กระทบแผนธุรกิจในกรณีรายได้จากกัมพูชาหายไป
“ในเวลานี้เรื่องความมั่นคง และอธิปไตยของประเทศไทยมีความสำคัญสูงสุด” แหล่งข่าว กล่าว
สำหรับสถานการณ์ของแบรนด์ไทยที่ทำตลาดในกัมพูชา ยังคงเจอกระแสต่อต้านอย่างต่อเนื่อง และมีปรากฏการณ์ล่าแม่มดหากมีร้านค้าใดที่จำหน่ายสินค้าไทยทำให้หลายบริษัทต้องมีการปรับตัว
ภาพดังกล่าว สอดคล้องกับมุมมอง นายเสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มคาราบาว ที่เคยกล่าวว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังของบริษัทที่จำหน่ายไปยังประเทศกัมพูชาหายไปหลักหลายร้อยล้านบาท
รวมทั้งมีผลกระทบต่อแบรนด์ไทยมีต่อเนื่อง เมื่ออินฟลูเอนเซอร์ได้สร้างคอนเทนต์ด้วยการไปยังร้านค้าต่างๆ หากพบร้านที่จำหน่ายสินค้าไทย จะมีการตำหนิถึงความไม่รักชาติ รวมทั้งมีการตั้งคำถามถึงร้านค้าเหล่านั้น ทำไมจึงยังจำหน่ายสินค้าไทย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้ประกอบการมีความคาดหวังเพียงให้สถานการณ์ความขัดแย้งเวลานี้มีทางออก เพื่อให้ทุกอย่างปรับตัวดีขึ้น และส่งผลให้ธุรกิจสามารถกลับมาค้าขายดังเดิม
OR จับตา Super Worst Case
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการลงทุนในกลุ่ม CLMV ผ่านกลยุทธ์การนำ “สูตรความสำเร็จในไทย” ไปต่อยอดในต่างประเทศ
“แม้ธุรกิจต่างประเทศจะยังถูกวางให้เป็นเสาหลักสำคัญ แต่ OR ต้องชะลอการลงทุนใหม่ในหลายประเทศ จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งกำลังเผชิญแรงกระแทกเชิงโครงสร้างทั้งด้านการแข่งขัน และปัจจัยทางการเมือง”
สถานการณ์ในกัมพูชาถูกจัดเป็น “พื้นที่เสี่ยงสูง” โดยยอดขายหดตัว 50-60% และจำนวนสถานีลดเหลือ 150 แห่ง จากเดิม 200 แห่ง หลังดีลเลอร์ท้องถิ่นเปลี่ยนแบรนด์กว่า 40 แห่ง เพราะความตึงเครียดทางการเมือง
ดังนั้น หากสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงอีกต่อเนื่อง อาจถือเป็น “super worst case scenario” มีโอกาสที่จะยุติกิจการทั้งหมดได้ และจะกระทบกับกำไรของ OR อยู่ที่ราว 2-3%
ปิดด่าน 138 วัน ค้าชายแดนหาย 8 หมื่นล้าน
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยว่า ได้ประเมินผลกระทบต่อการค้าชายแดน ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.- 8 ธ.ค.2568 รวม 138 วัน โดยมูลค่าส่งออกชายแดนไทยไปกัมพูชาปกติอยู่ที่ปีละ 220,800 ล้านบาท (เฉลี่ยวันละ 613 ล้านบาท)
ทั้งนี้การปิดด่าน 138 วัน ทำให้รายได้ไทยจากการส่งออกหายไป84,640 ล้านบาท ภาพรวมเศรษฐกิจไทยกระทบ 0.5% ของ GDP ส่วนมูลค่านำเข้าจากกัมพูชาปกติปีละ 32,000 ล้านบาท (เฉลี่ยวันละ 88 ล้านบาท) รวมทั้งมีผลให้กัมพูชาสูญรายได้ส่งออก 12,000 ล้านบาท และกัมพูชาได้รับผลกระทบจากการค้า 0.9%
ส่วนผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และกาสิโนในกัมพูชา โดยกัมพูชาต้องสูญเสียรายได้จำนวนมากจากนักท่องเที่ยวไทย ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในการเข้าประเทศโดยรายได้ท่องเที่ยวจากคนไทยปีละ 42,000 ล้านบาท (เฉลี่ยวันละ 120 ล้านบาท)ส่วนรายได้จากกาสิโน 20 แห่งตามแนวชายแดนกัมพูชามีเงินหมุนเวียน 200 ล้านบาทต่อเดือน (เฉลี่ยวันละ 7 ล้านบาท)
“เมื่อประเมินผลกระทบรวมทั้งการค้า การท่องเที่ยว และกาสิโน ตลอดระยะเวลาเกือบ 5 เดือน เศรษฐกิจไทยกระทบ 0.5% ของ GDP ในขณะที่กัมพูชากระทบ 2.1% ของ GDP” รศ.ดร.อัทธ์ กล่าว
รศ.ดร.อัทธ์ กล่าวว่า ไทยต้องเร่งจัดการความขัดแย้งครั้งนี้ให้เร็วที่สุด เพราะระยะสั้นกระทบการตัดสินใจมาลงทุนของนักธุรกิจต่างชาติที่อาจมองประเทศอื่นในอาเซียนโดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
สำหรับอุตสาหกรรมที่มีเสี่ยงคือ อุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมเสื้อผ้าโดยหากการสู้รบยืดเยื้ออาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะไม่เข้ามาเที่ยวไทย เพราะมีทั้งการสู้รบ สแกมเมอร์ และการค้ามนุษย์
นอกจากนี้มูลค่าการค้าไทยส่งออกไปกัมพูชาระยะสั้นจะได้รับผลกระทบหนักโดยรัฐอาจต้องนำสินค้าเหล่านี้ไปหาตลาดอื่นแทนด่วน รวมทั้งไทยต้องเร่งหาแรงงานไทย หรือ แรงงานประเทศอื่นเข้ามาแทนที่ แรงงานกัมพูชาในไทยโดยด่วน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







