‘สาลี่คัลเล่อร์’ลุยปรับทัพใหม่ ธุรกิจเดิม-ใหม่ดันรายได้โต

‘สาลี่คัลเล่อร์’ลุยปรับทัพใหม่  ธุรกิจเดิม-ใหม่ดันรายได้โต

ผลงานเติบโตต่อเนื่องอีกครั้งบมจ. สาลี่ คัลเล่อร์ ( COLOR) ผู้ผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติกมาสเตอร์แบตซ์ ชสะท้อนผ่าน “กำไรสุทธิ”งวด 9 เดือน ปี 2564อยู่ที่ 52.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ41.32 ล้านบาท หลังใช้เวลาปรับทัพธุรกิจใหม่กว่า 7 ปี !

“พีรพันธ์ จิวะพรทิพย์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) หรือ COLOR ระบุ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจเริ่มทยอยกลับมาเติบโต“โดดเด่น”อีกครั้ง ! หลังจากเมื่อราว7 ปีก่อน บริษัทอยู่ในช่วงของ“การย้ายโรงงานเพื่อก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่”โดยใช้เงินลงทุนไปกว่า 500-600 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นมา “2 เท่าตัว” จากเดิมกำลังผลิต 20,000 ตันต่อปี กลายเป็น 60,000 ตันต่อปี

โดยปัจจุบันกลุ่มลูกค้าจะอยู่ใน กลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ สัดส่วน 50% และที่เหลือจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้างสัดส่วน 10%กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรสัดส่วน 10% กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สัดส่วน 10% และเครื่องใช้ไฟฟ้าสัดส่วน 10% และส่วนที่เหลืออยู่ในกลุ่มอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีเป้าหมายสร้างการเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนผ่านล่าสุดบริษัท“แตกไลน์”สู่“ธุรกิจพลังงานทดแทน”ผ่านบริษัท เดอะบับเบิ้ลส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ COLOR ถือหุ้นในสัดส่วน 80% โดยธุรกิจพลังงานทดแทนจะดำเนินการใน 3 ส่วน คือ 1.การทำทุ่นลอยน้ำเพื่อวางแผงโซลาร์เซลล์2.รับบริการติดตั้ง ออกแบบพลังงานแสงอาทิตย์ทุกรูปแบบ ทั้งโซลาร์รูฟท็อป โซลาร์ภาคพื้นดิน หรือโซลาร์บนทุ่นลอยน้ำ เป็นต้น และส่วนสุดท้ายจะเป็นการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า (PPA)เพื่อรองรับผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและเล็กที่ต้องการลงทุนระบบประหยัดพลังงานไฟฟ้า

ทั้งนี้ ในธุรกิจพลังงานทดแทนดังกล่าวที่ผ่านมาได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องจักรไปแล้ว และจะเริ่มดำเนินการผลิตไฟฟ้าได้ในเดือนธ.ค.64 และจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ (COD) ได้ในเดือนม.ค.2565 เป็นต้นไป โดยมีกำลังการผลิตปีแรกที่ 15 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตสู่ 40 เมกะวัตต์ ใน 3-5 ปี ซึ่งบริษัทคาดหวังการเติบโตของธุรกิจพลังงานทดแทนราว 10-15% ของรายได้รวม และมีมาร์จินระดับ15-20%

ทิศทางผลประกอบการในปี 2564 บริษัทคาดรายได้จะเติบโตจากปี 2563 ที่มีรายได้ 995.12 ล้านบาท โดยได้ปัจจัยหนุนหลักจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กลับมาฟื้นตัว และอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ยังมีทิศทางที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น

ขณะที่ ผลดำเนินงานปี 2565 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15% โดยมาจาก“ธุรกิจ มาสเตอร์แบทช์”ประกอบด้วย ธุรกิจการเกษตร เช่น ฟิล์มคลุมโรงเรือน, ฟิล์มคลุมบ่อน้ำ, ท่อน้ำต่างๆ“ธุรกิจสินค้าใช้แล้วทิ้ง”เช่น Biodegradable, Disposable diape, Disposable film, Packaging“ธุรกิจสินค้าคงทน” เช่น Automotive, อุปกรณ์ไฟฟ้า, การก่อสร้าง, สายไฟฟ้า และ“ธุรกิจ Recycling”หรือการนำพลาสติกส์กลับมาทำใหม่

สำหรับ “ธุรกิจเกษตรกรรม” โดยบริษัทได้มีการทำถุงปลูก และได้มีการศึกษากับหน่วยงานการศึกษา เพื่อให้ได้ผลผลิตสูงขึ้น และให้คุณภาพของผลผลิตต่างๆ ดีขึ้น โดยเน้นไปที่พืชเศรษฐกิจ เช่น เมลอน, ทุเรียน, มะม่วง เป็นต้น ซึ่งระหว่างนี้อยู่ระหว่างการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย คาดจะสะท้อนผลประกอบการได้ในปีหน้า

ท้ายสุด “พีรพันธ์”บอกไว้ว่า เรามุ่งเน้นพัฒนาขั้นตอนการผลิต พัฒนาคุณภาพสินค้า รวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีอัตราการทำกำไรสูงออกมาอย่างต่อเนื่อง อย่างในปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาให้รองรับกับการปลูกกัญชาและกัญชงด้วย