กบอ. พิจารณาร่างแผนโครงสร้างพื้นฐานอีอีซี ระยะ 2 เสริมศักยภาพแข่งขันประเทศ

กบอ. พิจารณาร่างแผนโครงสร้างพื้นฐานอีอีซี ระยะ 2 เสริมศักยภาพแข่งขันประเทศ

ที่ประชุม กบอ. พิจารณา ร่างแผนโครงสร้างพื้นฐาน อีอีซี ปี 66-70 เสริมศักยภาพการแข่งขันประเทศ เตรียมเปิด EECi พ.ย. 65 รับประชุมเอเปก ประกาศความพร้อมดึงลงทุนอุตสาหกรรมขั้นสูง

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ครั้งที่ 7/2564 วันที่ 22 ธ.ค. 2564 ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน การประชุม ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ว่าที่ประชุมได้รับทราบ และพิจารณาความก้าวหน้าการดำเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่สำคัญ 4 เรื่อง ได้แก่

1. ความสำเร็จของ 4 โครงสร้างพื้นฐานหลัก ที่ประชุม กบอ. รับทราบ การขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชน (PPP) ที่อีอีซี ได้ผลักดันให้มีการเซ็นสัญญาครบทั้ง 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือมาบตาพุด และแหลมฉบัง มูลค่าลงทุนรวมสูงถึง 654,921 ล้านบาท เป็นการลงทุนภาคเอกชน 416,080 ล้านบาท (64%) ลงทุนภาครัฐ 238,841 ล้านบาท (36%)

โดยภาคเอกชนจะให้ผลตอบแทนภาครัฐ 440,193 ล้านบาท และรัฐได้ผลตอบแทนสุทธิ 210,352 ล้านบาท ถือเป็นประวัติศาสตร์ความสำเร็จครั้งสำคัญของประเทศและอีอีซี ที่ได้ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และประชาชนคนไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต  

2.ความก้าวหน้าการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ที่ประชุม กบอ. รับทราบ การดำเนินงานเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ได้ประสบผลสำเร็จต่อเนื่อง ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรม สนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 พัฒนาเกษตรสมัยใหม่ กลุ่ม SMEs และความพร้อมพัฒนาบุคลากรด้านงานวิจัยเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย 

ฐานสำคัญของ EECi ใกล้เสร็จสมบูรณ์ และคาดว่าจะเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนพ.ย. 2565 เพื่อสนับสนุนการจัดประชุมผู้นำเอเปกที่ประเทศไทย จะเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะเป็นการประกาศความพร้อมสนับสนุนการดึงดูดการลงทุนฐานนวัตกรรมขั้นสูง และจูงใจนักลงทุนทั่วโลกเข้าสู่พื้นที่อีอีซี 

3. ศูนย์จีโนมิกส์ ที่ประชุม กบอ. รับทราบ ความก้าวหน้าโครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบการแพทย์จีโนมิกส์ ในพื้นที่ อีอีซี ยกระดับให้ชุมชนเข้าถึงบริการสาธารณสุข และแผนการขับเคลื่อนการรักษาแบบการแพทย์แม่นยำ โดยเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุน ศูนย์บริการจีโนมิกส์ในอีอีซี และบริการที่เกี่ยวข้อง 

โดยปัจจุบัน สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสกพอ.ได้ลงนามในสัญญาจ้าง และสัญญาเช่าที่บริการถอดรหัสพันธุกรรม กับกิจการร่วมค้าไทยโอมิกส์ เพื่อถอดรหัสพันธุกรรมประชาชน 50,000 ราย ในระยะเวลา 5 ปี และจัดเก็บเป็นข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยและเลือกการรักษาโรคที่ถูกต้อง เป็นต้นแบบในพื้นที่ อีอีซี เพื่อให้คนไทยทุกคน ได้รับการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำ รักษาได้ตรงอาการไม่ป่วยหนัก และมีสุขภาพดีทั่วหน้าต่อไปในอนาคต

4. ที่ประชุม กบอ. พิจารณา (ร่าง) แผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2566 – 2570 ซึ่งจะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 มีเป้าหมายให้ไทยก้าวสู่ประตูการค้า การลงทุน ศูนย์กลางคมนาคมโลจิสติกส์ของภูมิภาค เน้นสร้างความร่วมมือกลุ่มประเทศ CLMVT และจีนตอนใต้

รวมทั้งรองรับการเติบโตของอีอีซีในอนาคต เชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางราง ทางน้ำ เชื่อมต่อขนส่งสาธารณะระบบรางจากสถานีรถไฟความเร็วสูง สนามบินอู่ตะเภาฯ เชื่อมกับเมืองใหม่ และแหล่งท่องเที่ยว เพิ่มความสะดวกสบายให้ประชาชนในการเดินทาง เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้ภาคอุตสาหกรรมมีความเข้มแข็ง 

โดยมีกรอบการพัฒนา ได้แก่ 1) พัฒนาและส่งเสริมการขนส่งสินค้าระบบรางและทางน้ำเป็นระบบหลัก 2) ส่งเสริมการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ 3) เชื่อมต่อโครงข่ายถนน ปรับปรุงช่วงถนนคอขวดแก้ปัญหาจราจรหลักในอีอีซี 4) พัฒนาโครงข่ายคมนาคมเชื่อมต่อพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ดึงนิคมอุตสาหกรรม เมืองที่จะพัฒนาในอนาคต ใช้ขนส่งสาธารณะ 5) ใช้เทคโนโลยีและระบบอัจฉริยะจัดการจราจรและการขนส่ง  

ซึ่งจะดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์ เพิ่มขีดความสามารถระบบรางและทางน้ำเชื่อมต่อการขนส่งรูปแบบอื่น เพื่อลดต้นทุนการขนส่งสินค้า ยกระดับโครงข่ายคมนาคมรองรับการเดินทางประชาชนอย่างไร้รอยต่อ เพิ่มสัดส่วนการเดินทางระบบสาธารณะ ส่งเสริมท่องเที่ยวทางรางและทางน้ำเข้าถึงพื้นที่หลักในอีอีซี และยกระดับโครงข่ายคมนาคม ด้วยมาตรการเชิงรุกและเทคโนโลยีสมัยใหม่  

โดยระหว่าง ปี 2566 - 2570 ช่วงการก่อสร้างจะเกิดการจ้างงานประมาณ 20,000 ตำแหน่ง/ปี และปี 2571 – 2580 ประมาณ 12,000 ตำแหน่ง/ปี เดินทางสะดวกรวดเร็วขึ้น ลดความสูญเสียจากความล่าช้าการเดินทางประมาณ 10.75 ล้านบาท/วัน หรือ 3,900 ล้าน/ปี ลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่ 5% และความสูญเสียลดลง 100 ล้านบาท/ปี 

นอกจากนี้ ยังเป็นการยกระดับชีวิตด้วยระบบขนส่งที่ทันสมัย เชื่อมการเดินทางแบบไร้รอยต่อ เดินทางจากกรุงเทพฯ ถึง ระยอง ภายใน 1 ชั่วโมง ลดมลภาวะในสิ่งแวดล้อม ลดปัญหาการจราจร เพิ่มประสิทธิภาพถนนในพื้นที่ จากความเร็ว 65 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็น 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีเส้นทางรถไฟทางคู่เพิ่มขึ้น 275 กิโลเมตร ปรับปรุงการก่อสร้างถนนและขยายช่องทางมากถึง 25 เส้นทางภายในปี 2570

 

พิสูจน์อักษรโดย....สุรีย์   ศิลาวงษ์