กังวลลด QE เร็วกว่าคาด (วันที่ 1 ธันวาคม 2564)

กังวลลด QE เร็วกว่าคาด (วันที่ 1 ธันวาคม 2564)

วันอังคารที่ผ่านมา ดัชนีรีบาวนด์ในช่วงเช้า โดยปรับตัวขึ้นถึง 20 จุด แต่มีแรงขายออกมาส่งผลให้ในช่วงบ่ายดัชนีปรับตัวลง ราว -20 จุด เป็นการปรับตัวลงจากความกังวลโควิด-19 สายพันธุ์ "โอไมครอน"ในหลายประเทศ

รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลงในการป้องกันโควิด-19 "โอไมครอน" ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลงตามทิศทางของ DJ Futures ประกอบกับมีการปรับตัวดัชนี MSCI ทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,568.69 จุด -21.00 จุด -1.32% มูลค่าการซื้อขาย 159,491 ลบ. ต่างชาติ -3,535.33 ลบ. TFEX -4,415 สัญญา ตราสารหนี้ +2,222.58 ลบ.

 

ปัจจัยบวก

+ จีนรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ย. 50.1 เพิ่มขึ้นจาก 49.2 ในเดือนต.ค. และดีกว่าคาดการณ์ที่ 49.6
+ จีนเตรียมส่งมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วแอฟริกาอีก 1 พันล้านโดส
+ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐจากพรรคเดโมแครตแสดงความหวังว่าวุฒิสภาจะอนุมัติการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐในไม่ช้า
+ เมอร์คเปิดเผยว่ายาโมลนูพิราเวียร์ที่บริษัทพัฒนามีประสิทธิภาพป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ เช่น เดลตา ส่วนทีมที่ปรึกษา FDA อนุมัติใช้ยาโมลนูพิราเวียร์เป็นกรณีฉุกเฉินและก่อนส่งต่อให้ FDA พิจารณาอนุมัติ
+ อินเดียเปิดเผย GDP ขยายตัว 8.4% ในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย. ซึ่งเป็นไตรมาส 2 ของปีงบประมาณของอินเดีย
+ครม.มีมติเห็นชอบการตรวจลงตราวีซ่าเพื่อการรักษาพยาบาล (Medical treatment visa) ระยะเวลา 1 ปีให้กับชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามารักษาพยาบาลในประเทศไทยระยะยาว
+มติครม.สั่งตรวจRT-PCR ต่างชาติเข้าไทย สกัดเชื้อกลายพันธ์โอไมครอน
+/- ศบค.รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 4,886ราย มีผู้เสียชีวิต 43 ราย รักษาหาย 6,326ราย

 

ปัจจัยลบ

- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 652.22 จุด -1.86% หลังประธาน FED ส่งสัญญาณยุติโครงการ QE เร็วกว่าคาด และการที่ผู้บริหารของโมเดอร์นาเตือนว่าวัคซีนที่มีในปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน
 

 

- ราคาน้ำมันดิบ ร่วงลง 3.77 ดอลลาร์ -5.4% ปิดที่ 66.18 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากผู้บริหารของบริษัทโมเดอร์นาเตือนว่าวัคซีนที่มีอยู่จะมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ทำให้นลท.กังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน
- ประธาน FED กังวลว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นและการพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน จะส่งผลให้การจ้างงานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐเสี่ยงเผชิญภาวะขาลง และเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับสถานการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐ
- เกาหลีใต้เปิดเผยว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงในเดือนต.ค.มากที่สุดในรอบ 18 เดือน และสัญญาณล่าสุดบ่งชี้ว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ชะลอตัวลง
- ฟิทช์ เรทติ้งส์ และมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิสเปิดเผยว่าไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นด้วย

 

แนวโน้มตลาดวันนี้    

คาดดัชนีในวันนี้มีโอกาสปรับตัวลงต่อตามทิศทางตลาดโลก หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธาน เฟด ส่งสัญญาณยุติโครงการ QE เร็วกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับกังวลสถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังมีความไม่แน่นอน และราคาน้ำมันดิบ WTI กดดันตลาด มองกรอบดัชนีในวันนี้ที่ 1,550-1,580 จุด

 

กลยุทธ์การลงทุน

• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์โควิด-19 STGT STA BCH EKH SMD WINMED TM PHOL
• หุ้นที่มีโอกาสเข้าคำนวณ SET50 : หุ้นเข้า BANPU KEX TIDLOR หุ้นออก BJC DELTA STA , SET100 : หุ้นเข้า BLA BPP EPG RCL SIRI STARK TTA หุ้นออก AAV ICHI JAS NRF PRM PSL TKN

 

 

หุ้นรายงานพิเศษ

                            SIS (Bloomberg Consensus 44.25 บาท)

•3Q64 มีกำไรสุทธิ 215 ล้านบาท +40%YoY +9%QoQ โดยมีปัจจัยหนุนจากรายได้กลุ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อ Xiaomi เป็นหลักรวมถึงกลุ่มสินค้าเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) และโน้ตบุ้ค งวด 9M64 มีกำไรสุทธิ 603 ล้านบาท +60%YoY

•แนวโน้ม 4Q64 มีโอกาสเติบโตดีจากการเข้าสู่ช่วง ไฮซีซั่นหนุนยอดขายเติบโต QoQ และดีต่อเนื่องในปี 65 จากความต้องการใช้สินค้าไอทีที่เติบโตต่อเนื่องสอดคล้องกับความต้องการลงทุนด้าน data center และอุตสาหกรรม cybersecurities รองรับเทคโนโลยี 5G และบริการ cloud service

กังวลลด QE เร็วกว่าคาด (วันที่ 1 ธันวาคม 2564)

•ความเห็น ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อศักยภาพในการเติบโตของผลการดำเนินงานในอนาคต Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 64 เฉลี่ย 751.50 ล้านบาท +26%YoY ส่วนคาดการณ์กำไรปี 65 เฉลี่ย 867.50 ล้านบาท +15%YoY ราคาหุ้นล่าสุดแม้เพิ่มขึ้น 134%YTD แต่ยังซื้อขายที่ P/E ระดับ 18.6x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ระดับ 32.4x ยังเข้าสะสมได้

 

หุ้นมีข่าว

(+) ACG (Bloomberg Consensus - บาท) ปักหมุดเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ รุกเปิดศูนย์ FAST-FIT ในกรุงเทพฯแห่งแรก เชื่อกระแสตอบรับดี ตั้งเป้าเปิดสาขาเพิ่มครบ 18 แห่ง จากสิ้นปีนี้ที่ 5 แห่ง คาดสร้างรายได้ 300 ล้านบาท หวังดึงนักลงทุน VI บอสใหญ่ "ภานุมาศ รังคกูลนุวัฒน์" ลั่นพร้อมให้ข้อมูลหากมีผู้สนใจ ชูจุดเด่น ล้างจุดเด่นธุรกิจ (ที่มา ทันหุ้น)

(+) BCH (Bloomberg Consensus 26.00 บาท) ชู PCR ตรวจ "โอไมครอน" ได้ หวั่นติดเชื้อง่ายทำระบาด แต่ไม่รุนแรงเท่าเดลตา เตรียมพร้อมรับมือ แย้มผลงานไตรมาส 4 โตแรงจากปีก่อน เร่งฉีดวัคซีนโมเดอร์นา ปีหน้าผลงานเติบโต 104% ลุยธุรกิจใหม่ ให้บริการห้องปฏิบัติการ, การนำเข้ายา-เครื่องมือแพทย์ และการขายน้ำวิตามิน สร้างรายได้เพิ่ม (ที่มา ทันหุ้น)

(+) LEO (Bloomberg Consensus 15.50 บาท) “ลีโอ” ส่งซิกผลงานไตรมาส 4/64 นิวไฮต่อเนื่อง รับอานิสงส์ปริมาณการขนส่งและค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์พุ่ง มั่นใจรายได้ปีนี้ตามนัดโต 3,000 ล้านบาท เล็งปิดดีล M&A สิ้นปีนี้ 1 ราย หวังสร้างรายได้ปีหน้าเพิ่มไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าปีหน้ารายได้โต 20-25% (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) TPS (Bloomberg Consensus - บาท) ส่งบริษัทย่อย “เดอะวิน เทเลคอม” คว้างานใหญ่ในโครงการ Saphan Project (Underground Fiber Cable) มูลค่ารวมกว่า 557.89 ล้านบาท หนุนแบ็กล็อกพุ่งแตะ 1,260 ล้านบาท พร้อมส่งสัญญาณไตรมาส 4/64 แนวโน้มสดใส เดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่ ทั้งภาครัฐ และเอกชน (ที่มา ข่าวหุ้น)