กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ 29 พ.ย. – 3 ธ.ค. ยังถูกกดดันจากสถานการณ์โควิด

กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ 29 พ.ย. – 3 ธ.ค. ยังถูกกดดันจากสถานการณ์โควิด

ตลาดจะยังคงถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับสายพันธ์ุ Omicron ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (22-26 พฤศจิกายน) ดัชนี SET ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และลดลงมากเกินกว่าที่คาดไว้

แต่เป็นการลดลงอย่างชัดเจนเมื่อวันศุกร์เมื่อตลาดหุ้นทั่วโลกถูกกระทบจาก i) ความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการที่ Fed อาจจะลดขนาด QE และขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น และ ii) รายงานข่าวเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ Omicron ทั้งนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันปรับลดมาแรง และนักลงทุนหันมาระมัดระวังกับแนวโน้มนักท่องเที่ยวจากต่างชาติมากขึ้น หุ้นกลุ่มหลักส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทยจึงได้รับผลกระทบ และฉุดให้ดัชนี SET ปรับลดลงมาอยู่ระดับต่ำที่สุดตั้งแต่ 3 พฤศจิกายน 2564

ในสัปดาห์นี้ (29 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม) เราคาดว่าดัชนี SET จะลดลงอีก และอาจจะลงมาต่ำกว่าระดับ 1,600 จุด จากการที่นักลงทุนในตลาดปรับสถานะเพื่อสะท้อนความเสี่ยงใหม่จากสายพันธุ์ Omicron ที่จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจโลก และราคาน้ำมันดิบ ในขณะที่ตลาดน่าจะคลายความกังวลเกี่ยวกับจังหวะการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ลงไปได้บ้าง อย่างน้อยในระยะสั้น ทั้งนี้ เราคาดว่ากระแสเงินทุนจะยังคงไหลออกอย่างต่อเนื่อง จากการที่นักลงทุนอยู่ในโหมด risk-off เรายังคงประเมินว่า Omicron จะส่งผลกระทบในวงจำกัดต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่รวมถึงประเทศไทยด้วยต่างพากันเร่งกระจายวัคซีนเพิ่มขึ้น โดยเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว สัดส่วนประชากรที่ได้รับวัคซีนแล้วหนึ่งเข็ม และได้รับวัคซีนครบโดสแล้วอยู่ที่ 68% และ 58% ตามลำดับ เราแนะนำให้นักลงทุนรอดูกระแสข่าว Omicron ไปก่อน แต่ให้เตรียมพร้อมเข้าสะสมหุ้นเมื่อตลาดเริ่มทรงตัว

 

 

 

 

 

ติดตามกระแสข่าว COVID-19 สายพันธ์ุใหม่ และจังหวะการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐ

(-) ความคืบหน้าเกี่ยวกับ COVID-19 สายพันธุ์ ‘Omicron’ มีรายงานข่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า พบผู้ติดเชื้อ Omicron ในอังกฤษ เยอรมนี และอิตาลี ซึ่งน่าจะยังคงกดดันภาวะตลาดโลกในสัปดาห์นี้ต่อไป นอกจากนี้ เรามองว่ายังมี downside อีกจากราคาน้ำมันดิบเนื่องจากอุปสงค์อาจจะลดลงจากการกลับมาคุมการเดินทางอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน นักลงทุนยังต้องติดตามการประชุม OPEC+ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ว่าจะมีการปรับนโยบายการผลิตหรือไม่ โดยในปัจจุบัน OPEC+ มีแผนจะทยอยเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบอีกเดือนละ 400kbpd

(0) ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ และ ความคาดหวังของตลาดต่อการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐ ในวันที่ 1 ธันวาคมจะมีการเปิดเผยดัชนี ISM ภาคการผลิตอุตสาหกรรม และตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน ADP ของสหรัฐ ในขณะที่จะมีการเผยแพร่ดัชนี ISM นอกภาคการผลิต และการจ้างงานรายเดือนในวันที่ 3 ธันวาคม ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญดังกล่าวจะเป็นตัวกำหนดความคาดหวังของตลาดต่อการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เมื่อตลาดการเงินโลกเกิดกระแสความกังวลเกี่ยวกับสายพันธุ์ Omicron ทางด้าน CME Fed Fund Future ได้ปรับการคาดการณ์ในกรณีฐานของการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกจากเดือนพฤษภาม 2565 เป็นกรกฎาคม 2565

 

 

 

หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และโรงพยาบาลมีแนวโน้ม outperform ในระยะสั้น แต่ในระยะยาว เรายังคงแนะนำให้สะสมหุ้น domestic plays

ในระยะสั้นมาก ๆ เราคิดว่าราคาหุ้น large-cap ส่วนใหญ่จะยังคงถูกกดดัน และหุ้นที่จะ outperform ในสัปดาห์นี้น่าจะเป็นกลุ่มส่งออก และกลุ่มที่จะได้อานิสงส์จาก COVID-19 อย่างเช่น หุ้นอิเล็กทรอนิกส์และโรงพยาบาลขนาดกลาง ส่วนในระยะยาว เรายังคงแนะนำให้ซื้อสะสมเมื่อตลาดย่อตัวลง โดยเน้นหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศที่ราคาหุ้นยังสมเหตุสมผลในกลุ่มธนาคาร, commerce และที่อยู่อาศัย

ในขณะเดียวกัน เรายังคงแนะนำหุ้นเด่นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ BBL*, KBANK*,
HMPRO*, LH* และ ORI* เราแนะนำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีในระยะสั้นเนื่องจากราคาน้ำมันยังมี downside อีกถ้าหาก OPEC+ ไม่ปรับนโยบายการผลิตในสัปดาห์นี้