BEC ราคาหุ้นสะท้อนแนวโน้มการเติบโตแล้ว

เนื่องจาก i) คาดว่ารายได้ค่าโฆษณาจะเพิ่มขึ้นตามอัตราการขายเวลาโฆษณาของช่อง 33 ที่ขยับเพิ่มขึ้นแล้วตั้งแต่ช่วงเดือนต.ค 64 – กลาง พ.ย. 64 จากที่เคยขายได้เพียง 60% ใน 3Q64 เพราะละครส่วนใหญ่ที่ออกอากาศใน 3Q64 เป็นการฉายซ้ำ (re-run) ในขณะที่จำนวนละครเรื่องใหม่ออกอากาศมากขึ้นตั้งแต่ต้น 4Q64 และ ii) คาดว่ารายได้จากบริการดิจิทัล (ดูคอนเทนท์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์) จะเพิ่มขึ้นตามจำนวนละครใหม่ ในขณะที่ 4Q64 จะไม่มีการออกอากาศละครแบบคู่ขนานในไทยและจีน อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบ YoY กำไรไม่น่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากฐานกำไรสูงใน 4Q63

 

แนวโน้มสดใสมากขึ้นในปี 2565

สำหรับแนวโน้มในปี 2565 เราคาดว่ากำไรของ BEC จะถูกขับเคลื่อนโดย i) รายได้ค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของธุรกิจโฆษณา และจำนวนละครเรื่องใหม่ของ BEC ที่คาดจะเพิ่มขึ้น ii) รายได้ GCL ที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่สถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายลงตั้งแต่ช่วงต้น 4Q64 ซึ่งจะทำให้การผลิตรายการละครกลับมาเป็นปกติหลังจากที่สะดุดไปในช่วง 3Q64 ทั้งนี้บริษัทได้กลับมาเจรจากับพันธมิตรอีกครั้งเพื่อออกอากาศละครแบบคู่ขนานในประเทศจีนเรื่องใหม่ เพราะละครที่เดิมตั้งเป้าจะออกอากาศในไทยและจีนช่วง 4Q64 แต่ไม่สามารถออกอากาศในจีนได้ทัน iii) แผนของ BEC ที่จะขยายตัวไปยังธุรกิจใหม่ (ภาพยนตร์, เพลง และการบริหารศิลปิน) เพื่อสร้างกระแสรายได้ใหม่

 

 

ยังคงประมาณการกำไรปี 2564F-2565F เอาไว้ตามเดิม

เนื่องจากกำไรสุทธิในงวด 9M64 จะอยู่ที่ 466 ล้านบาท คิดเป็น 70% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเรา ในขณะที่คาดว่ากำไรจะดีขึ้น QoQ ดังนั้น เราจึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2564F เอาไว้ที่ 664 ล้านบาท จากขาดทุนสุทธิ 214 ล้านบาทในปี 2563 และคาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นเป็น 889 ล้านบาท (+34%YoY) ในปี 2565F

 

Valuation and action

เรายังคงราคาเป้าหมายปี 2565 เอาไว้เท่าเดิมที่ 14.40 บาท (PER ที่ 32.3x) ซึ่งเหลือ upside จากราคาตลาดเพียง 2.1% ดังนั้น เราจึงปรับลดคำแนะนำหุ้น BEC จากเดิม “ซื้อ” เป็น “ถือ” โดยเรามองว่ายังมี upside อีกเล็กน้อย จากธุรกิจใหม่ในปี 2565 เนื่องจากรายได้จะยังไม่มากนักในช่วงแรก ๆ

 

Risks

รายได้ค่าโฆษณา และ GCL ต่ำกว่าที่คาดไว้