"ขยับเงินออม" เพิ่มผลตอบแทนในตลาดซื้อขาย "หุ้นกู้ก่อนครบกำหนด"

"ขยับเงินออม" เพิ่มผลตอบแทนในตลาดซื้อขาย "หุ้นกู้ก่อนครบกำหนด"

"ขยับเงินออม" เพิ่มการลงทุน"หุ้นกู้" และการซื้อขายหุ้นกู้ก่อนครบกำหน หรือ "หุ้นกู้ตลาดรอง" เผชิญยุคดอกเบี้ยต่ำ "ThaiBMA" ชี้หุ้นกู้ BBB และ A เหมาะกับรายย่อย โชว์ผลตอบแทนโดดเด่น 1.5-4% ต่อปี "ซีไอเอ็มบีไทย" แนะ 5 เทคนิคมือใหม่ เริ่มออมให้ทำงานเพิ่มขึ้น 3 เท่า

ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้าเข้าสู่ภาวะ "ดอกเบี้ยต่ำ"  และจะเป็นแบบนี้ไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งสวนทางกับตลาดการเงินทั่วโลก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังคงมีความเสี่ยงที่จะโตช้ากว่าที่คาดไว้ สอดคล้องกับผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่10 พ.ย.64 ยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ต่อปี

แต่เชื่อหรือไม่ว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังคุ้นชินกับการออมเงินอยู่ใน "เงินฝาก"  ที่มีมูลค่าสูงถึง 15 ล้านล้านบาท ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 0.5% ต่อปีเท่านั้น  จึงพลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนจากผลิตภัณฑ์การลงทุนที่คล้ายเงินฝากอย่าง "หุ้นกู้" ที่สามารถสร้างผลตอบแทนสูงถึง 3 เท่า

 

 

ดังนั้นการขยับเงินออมมาลงทุน "หุ้นกู้" จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในเวลานี้ 

หุ้นกู้ คือ ตราสารหนี้ (Bond) ที่ออกโดยภาค "เอกชน" เพื่อระดมทุนไปใช้ในกิจการต่างๆ ตามแผนของบริษัท โดย "ผู้ซื้อหุ้นกู้" จะอยู่ในสถานะของ "เจ้าหนี้" ของกิจการที่เราซื้อหุ้นกู้ โดยลักษณะที่สำคัญของหุ้นกู้คือ ผู้ออกหุ้นกู้จะต้องให้คำสัญญาว่าจะจ่ายดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันตลอดช่วงอายุของหุ้นกู้ และจะชำระเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดอายุของหุ้นกู้ด้วย

โดยหุ้นกู้จะกำหนดอายุที่แน่นอน ส่วนใหญ่จะมีอายุ 3 ปี 5 ปี 7 ปี หรือ 10 ปี (การออกหุ้นกู้ในลักษณะนี้แต่ทำโดยรัฐบาล จะถูกเรียกว่า "พันธบัตรรัฐบาล")

"ขยับเงินออม" เพิ่มผลตอบแทนในตลาดซื้อขาย "หุ้นกู้ก่อนครบกำหนด"

 

ผลตอบแทน "หุ้นกู้"  โดดเด่น 

จากข้อมูลของ Thai BMA ณ  5 พ.ย. 2564  พบว่า  มีหุ้นกู้เอกชนออกจัดจำหน่าย มูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านบาท โดย หุ้นกู้กลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือ BBB และกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือ A เป็นกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนรายย่อย เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น  1.5-4% ต่อปี และยังได้รับดอกเบี้ยสม่ำเสมอ ครบกำหนดได้รับเงินต้นคืนตามสัญญา คล้ายการฝากเงิน เพียงเปลี่ยนจากธนาคาร มาเป็นเจ้าหนี้บริษัทเอกชน

ขยับเงินออม เพิ่มผลตอบแทนใน "หุ้นกู้ตลาดรอง"

แต่ปัจจุบันผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้อง เฝ้ารอที่จะซื้อเฉพาะหุ้นกู้ที่เสนอขายครั้งแรกเท่านั้น หรือต้องถือหุ้นกู้จนครบอายุแล้วถึงนำมาขายอีกต่อไป 

โดยผู้ลงทุนสามารถ "ซื้อขายหุ้นกู้ก่อนครบกำหนด" ผ่านผู้ให้บริการซื้อขายตราสารหนี้ มีทั้งธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์ หรือ "หุ้นกู้ตลาดรอง"  เป็นอีกทางเลือกการออม ที่ทำให้ "เงินทำงานหนักขึ้น ในเวลาเท่าเดิม สร้างผลตอบแทนได้สูงขึ้น" 

"หุ้นหู้ตลาดรอง" เติบโตต่อเนื่อง ด้วยมูลค่าการซื้อขายธุรรรมตราสารหนี้ผ่านตลาดรอง ที่มีอายุมากกว่า 1 ปี ของผู้ลงทุนรายย่อย  เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปี2561  มูลค่า 11,716 ล้านบาท ปี 2562  มูลค่า 16,937 ล้านบาท ปี 2563 มูลค่า 20,947 ล้านบาท และปี 2564 (ม.ค.-ส.ค.) มูลค่า 13,972 ล้านบาท  ผู้นำในตลาดนี้ คือ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ครองมาร์เก็ตแชร์สูงถึง 51% 

"ขยับเงินออม" เพิ่มผลตอบแทนในตลาดซื้อขาย "หุ้นกู้ก่อนครบกำหนด"

นายกรกฏ กมลเนตรพิสุทธิ์ ผู้บริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้และเงินตราต่างประเทศ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย แนะนำ "นักลงทุนมือใหม่" ที่อยากเริ่มต้นเขยิบเงินออม มาลงทุนหุ้นกู้คุณภาพดี เพื่อรับผลตอบแทนแบบตรงใจ ด้วย 5 เทคนิคการลงทุนในหุ้นกู้ แบบง่ายๆ ดังนี้ 

1 . ปลุกเงินออมให้ทำงาน ให้เหมาะกับระยะเวลาการลงทุนของคุณ
2. เลือกอุตสาหกรรมที่คุ้นเคย หรือมีความชำนาญส่วนตัว หรือเริ่มต้นจากบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์
3. ดูอันดับความน่าเชื่อถือ โดยกลุ่มธนาคารแนะนำก็คือระดับ Investment Grade (BBB- ถึง AAA)
4. ศึกษาบทวิเคราะห์ ของบริษัทนั้นๆ จากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ คือ TRIS Rating หรือ Fitch Rating Thailand เพื่อดูมุมมองธุรกิจที่สำคัญของปัจจุบันและอนาคต รวมถึงตัวเลขทางการเงินที่สำคัญของบริษัท 

จะจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไร? ให้เหมาะสมกับตนเอง ​​​​​​

สำหรับนักออมเงิน ที่ยังรับความเสี่ยงไม่ได้มากนัก หรือกลุ่ม Defensive ,Conservative  ตราสารหนี้ถือเป็น "ทางเลือกการลงทุนที่สำคัญ"                                                                   แนะนำ ลงทุนตราสารหนี้ สัดส่วน 50-70% ของพอร์ต

สำหรับนักลงทุนทั่วไป หรือกลุ่ม Balance , Growth                                                         ตราสารหนี้ยังคงเป็น "สินทรัพย์สำคัญของพอร์ตการลงทุน"                                                   
แนะนำ ลงทุนตราสารหนี้ สัดส่วน 15-35% ของพอร์ต

"ธนาคารพยายามที่จะหาและแก้ไข pian point ให้ลูกค้าในการลงทุนหุ้นกู้ตลาดรองมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ความยุ่งยากในการซื้อ การจองซื้อไม่ทัน ความไม่มั่นใจ-ไม่เข้าใจในการลงทุน หรือขีดจำกัดด้านเงินลงทุนไม่เพียงพอ เป็นต้น โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่าการซื้อหุ้นกู้แล้วมักจะถือจนครบอายุ แต่หากนำมาขายในตลาดรองจะทำให้มีโอกาสที่ดีขึ้นเมื่อนำเงินที่ได้จาการขายไปลงทุนในหุ้นกู้หรือตราสารที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วผลตอบแทนของหุ้นระดับเครดิตดีๆ อย่าง AAA จะอยู่ที่ประมาณ 2.5% หรือ BBB ประมาณ 3-4% ขณะที่ธุรกรรมการซื้อขายในตลาดรองผ่านธนาคารในปีนี้คาดว่าจะจบที่ 18,000 ล้านบาท และปีหน้าตั้งเป้าเติบโตที่ 30%"

"ขยับเงินออม" เพิ่มผลตอบแทนในตลาดซื้อขาย "หุ้นกู้ก่อนครบกำหนด"

อย่างไรก็ตาม "ซีไอเอ็มบีไทย" คาดว่า แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีการออกหุ้นกู้ออกมาอย่างต่อเนื่อง ยอดรวมการออกหุ้นกู้ทั้งปี 64 จะทะลุ 800,000 ล้านบาท หรืออาจจะอยู่ที่ 800,000-900,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มียอดไม่ถึง 700,000 ล้านบาท และในปีหน้าคาดว่าขยายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนยังมีสินค้าให้เลือกลงทุนอยู่  และที่สำคัญ  "หุ้นกู้ดีดีมีได้ทุกวัน"อีกทั้งผู้ลงทุนสามารถซื้อขายผ่าแอพพลิเคชั่น  "CIMB THAI Digital Banking"  

ดังนั้น ยุคภาวะดอกเบี้ยต่ำแบบนี้  "หุ้นกู้ตลาดรอง" ยังมีความน่าสนใจ ที่จะช่วยเพิ่มพูนพอร์ตลงทุนให้มั่นคง