Energy Sector - OPEC+ รักษาสมดุลอุปทานและอุปสงค์นํ้ามันในตลาดโลกได้ดี

Energy Sector - OPEC+ รักษาสมดุลอุปทานและอุปสงค์นํ้ามันในตลาดโลกได้ดี

เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรรวมของหุ้นกลุ่มพลังงาน 15 บริษัทที่เราศึกษาอยู่ขึ้นจากเดิม 7% เป็น 2.74 แสนล้านบาทในปี 2564

และปรับเพิ่ม 6% เป็น 2.67 แสนล้านบาทในปี 2565 เนื่องจากปรับราคาน้ำมันดิบดูไบสูงขึ้น และ spread ของน้ำมันหล่อลื่น, BZ, ABS, PS, BPA, PTA ในซีกโลกตะวันตก และ PET ในซีกโลกตะวันตกเพิ่มขึ้น แต่ปรับ spread ของน้ำมันเครื่องบินและน้ำมันดีเซลลดลง (Figure 1)

 

Impact
ตลาดนํ้ามันดิบ: การฟื้นตัวของตลาดนํ้ามันโลกช่วยหนุนราคานํ้ามันดิบ

เราปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2564/65 ขึ้นจากเดิม US$65/65/bbl เป็น US$67/70/bbl และปรับเพิ่มสมมติฐานราคาระยะยาวเป็น US$65/bbl จากเดิม US$60/bbl เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันแข็งแกร่งขึ้น หลังจากที่อัตราการกระจายวัคซีนทั่วโลกเร่งตัวขึ้นและประเทศพัฒนาแล้วมีการผ่อนคลายมาตรการคุม COVID-19 ส่งผลให้ OPEC ทบทวนประมาณการอัตราการเติบโตของอุปสงค์น้ำมันโลกปี 2565 เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 0.86MBD เป็น 4.15MBD แต่อย่างไรก็ตาม OPEC+ ตกลงที่จะเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบรายเดือนขึ้นอีก 400KBD ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไป เพื่อทยอยยกเลิกโครงการลดอุปทาน 5.8MBD ภายในเดือนกันยายน 2565 สำหรับแนวโน้มในระยะยาว เราคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะได้แรงหนุนจากแผนลงทุนที่ต่ำของโครงการผลิตน้ำมันใหม่ในสหรัฐและการลดการปล่อย carbon เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งจะจำกัดการเพิ่มอุปทานน้ำมันดิบนอกกลุ่ม OPEC+ โดย Chevron ยังคงงบ CAPEX ไว้ในระดับต่ำที่ไม่ถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ถึงปี 2568 ในขณะที่ Shell ถูกศาลในเนเธอร์แลนด์สั่งให้ลดการปล่อย carbon ลง 45% ภายในปี 2573

 

ตลาดนํ้ามันดิบ: spread ของโรงกลั่นจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 4Q64 เป็นต้นไป

Spread ของน้ำมันเบนซินใน 3QTD64 เพิ่มขึ้น 16% QoQ เป็น US$11.5/bbl เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันเบนซินในสหรัฐแข็งแกร่ง นอกจากนี้ เราคาดว่า spread ของน้ำมันเครื่องบินและน้ำมันดีเซลจะเพิ่มขึ้นใน 2H64

 

เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันของสหรัฐและยุโรปในขณะนี้เพิ่มขึ้น และอุปสงค์น้ำมันของเอเชียจะ
ตามมาใน 4Q64 โดยเราคาดว่าอุปสงค์น้ำมันดีเซลจะฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ระดับก่อน COVID-19 ใน 4Q64เนื่องจากอุปสงค์ที่สูงตามฤดูกาลในหน้าหนาว ในขณะที่คาดว่าอุปสงค์น้ำมันเครื่องบินจะทยอยฟื้นตัวขึ้น แต่จะยังต่ำกว่าระดับก่อน COVID-19 ในช่วงที่เหลือของปีนี้ นอกจากนี้ ซาอุดิอาระเบียเพิ่งประกาศราคาขายอย่างเป็นทางการ (OSP) ของน้ำมัน Arab Light crude ในตลาดเอเชีย โดยกำหนด premium ที่ US$1.7/bbl สำหรับเดือนตุลาคม ซึ่งลดลง US$1.3/bbl MoM โดยต้นทุน crude premium ที่ลดลงจะส่งผลดีต่อบริษัทโรงกลั่นต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม เราปรับลดสมมติฐาน spread น้ำมันเครื่องบินและน้ำมันดีเซลเหลือ US$5.0/6.0/bbl ในปี 2564 และเหลือ US$10.0/12.0/bbl ในปี 2565 จากการที่ COVID-19 สายพันธุ์ Delta ระบาดในหลายประเทศ ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันโลกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้

 

ตลาดปิโตรเคมี: อุปทานใหม่จำนวนมากจะกดดัน spread ของ olefins และ aromatics

เรายังคงเชื่อว่าตลาด polyolefins (PE) จะถูกกดดันจากอุปทาน PE ใหม่ 7.8MTA, 7.9MTA และ 7.4MTA ในปี 2564-66 ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของอุปสงค์ตามปกติที่ 4.0-5.0MTA นอกจากนี้ เนื่องจาก spread ของ HDPE ลดลงมาอยู่ระดับต่ำมากที่ US$469/ton ใน 3QTD21 ดังนั้นเราจึงคาดว่า spread ของ HDPE จะยังคงอยู่ในขอบล่างของระดับปกติที่ US$500/ton ในปี 2565 ในขณะเดียวกัน spread ของ PP ยังทรงตัวอยู่ที่ US$580/ton ใน 3QTD21 ซึ่งถือเป็นช่วงปกติ (US$550-650/ton) เนื่องจากมีการเลื่อนเปิดโครงการ RAPID กำลังการผลิต PP 900KTA ในมาเลเซีย ซึ่งอาจจะต้องเลื่อนจากเดือนกรกฎาคมไปเป็นเดือนธันวาคม 2564 นอกจากนี้ ตลาด PP ยังได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากการผลิตอุปกรณ์การแพทย์อย่างเช่น หน้ากาก, หลอดฉีดยา และชุด PPE ในช่วงที่ COVID-19 ระบาด 

ดังนั้นเราจึงคาดว่า spread ของ PP จะยังคงอยู่ในระดับปกติที่ US$600/ton ในปี 2565 แม้จะลดลง 12% YoY จากปี 2564 สำหรับตลาด aromatics เราเชื่อว่า spread ของ PX และ BZ ตั้งแต่ 4Q64 ไปจะถูกกดดันจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการใหม่ Zhejiang #3 ซึ่งมีกำลังการผลิต PX 2.2MTA และกำลังการผลิต BZ 650KTA ใน 4Q64 (เลื่อนมาจาก 3Q64) และโครงการใหม่ Zhejiang #4 ใน 1Q65 (เลื่อนจาก 4Q65) แต่อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ของอนุพันธ์ BZ ที่แข็งแกร่งจะช่วยหนุนให้ spread ของ BZ ยังดีอยู่

 

Valuation and action

ยังคงเลือก SPRC และ ESSO เป็นหุ้นเด่น และเพิ่ม PTG เข้ามาในพอร์ตหุ้นเด่นกลุ่มพลังงาน
เนื่องจากเรามองบวกกับแนวโน้มตลาดโรงกลั่นตั้งแต่ 4Q64 เป็นต้นไป เราจึงยังคงเลือก Star
Petroleum Refining (SPRC.BK/SPRC TB)* และ ESSO Thailand (ESSO.BK/ESSO)* เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มพลังงาน เพราะเราชอบบริษัทที่กำไรจากธุรกิจโรงกลั่นคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50%ของ EBITDA รวม ส่วนในกรณีของ Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)* ถึงแม้ว่ากำไรจากโรงกลั่นจะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50-60% ของ EBITDA รวม แต่เรายังเป็นห่วงแผนเพิ่มทุน 1 หมื่นล้านบาทในปีหน้า ดังนั้ เราจึงไม่เลือก TOP เป็นหุ้นเด่นในพอร์ตหุ้นพลังงานของเรา ทั้งนี้เรามองว่า Bangchak Corporation (BCP.BK/BCP TB)* จะเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่จะได้ประโยชน์เพราะกำไรจากธุรกิจโรงกลั่นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของ EBITDA รวม และคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะสูงถึง 7.1% ในปี 2564 และ 5.8% ในปี 2565 ซึ่งดีกว่าหุ้นโรงกลั่นอีกสามตัวที่เหลือ

 

เราเพิ่ม PTG Energy (PTG.K/PTG TB)* เข้ามาในพอร์ตหุ้นเด่นกลุ่มพลังงานของเรา เนื่องจากคาดว่าปริมาณยอดขายน้ำมันใน 4Q64 จะพุ่งแรง QoQ เพราะสถานการณ์ COVID-19 มีแนวโน้มดีขึ้นในเดือนตุลาคม และอุปสงค์การเดินทางในประเทศจะเร่งตัวขึ้นถ้าหากรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการ lockdown ลงอีก แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าผลประกอบการของ PTG ใน 3Q64 จะยังคงถูกกดดันจากปริมาณยอดขายน้ำมันที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากการที่ COVID-19 กลับมาระบาดอย่างรุนแรงในระลอกที่สาม ในขณะเดียวกันเรามองว่า PTT Pcl. (PTT.BK/PTT TB)* และ PTT Exploration & Production (PTTEP.BK/PTTEP TB)* จะเป็นหุ้น laggard เมื่อเทียบกับหุ้นโรงกลั่นและปิโตรเคมีอื่นๆ โดยเราคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ PTT จะอยู่ในระดับน่าสนใจที่ 5.7% ในปี 2564 และ 5.9% ในปี 2565 ในขณะที่ PTTEP จะได้แรงสนับสนุนจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นนอกจากนี้ เราปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น Indorama Ventures (IVL.BK/IVL TB)* จาก ถือ เป็น ซื้อ เนื่องจากเรามองบวกกับการเข้าซื้อหุ้น 100% ใน Oxiteno ที่ราคา 1.3 พันล้านดอลลาร์ฯ (4.07 หมื่นล้านบาท) คิดเป็น EV/EBITDA ที่ไม่แพงที่ 6.2-6.5x