เอเวอร์แกรนด์ ส่อผิดนัดชำระหนี้ ฉุดหุ้นไทย-เอเชียร่วงหนัก

เอเวอร์แกรนด์ ส่อผิดนัดชำระหนี้ ฉุดหุ้นไทย-เอเชียร่วงหนัก

หุ้นไทยร่วง 22.59 จุด ตามตลาดหุ้นเอเชีย เซ่นปม “เอเวอร์แกรนด์” ส่อล้ม-กังวลเฟดจ่อลด QE “บล.โนมูระฯ” คาดนักลงทุนกังวลผลกระทบส่งต่อมายังไทยในฐานะประเทศคู่ค้า คาดกรอบดัชนีสัปดาห์นี้แกว่ง 1,580-1,637 จุด “บล.ยูโอบีฯ” ชี้นักลงทุนชะลอซื้อขายหุ้น รอผลประชุมเฟด

ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยวานนี้ (20 ก.ย.) ปรับตัวลงแรงท้ายตลาดดัชนีปิดที่ 1,603.06 จุด ลดลง 22.59 จุด หรือ 1.39% มูลค่าการซื้อขาย 85,013.63 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 4,392.47 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,191.00 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 277.42 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อสุทธิ 5,860.89 ล้านบาท

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับลงตามทิศทางตลาดหุ้นเอเชีย จากความกังวลกรณีบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีน “เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป” ขาดสภาพคล่อง ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะถูกกระทบไปด้วย จากที่บริษัทขนาดใหญ่ต่างถือครองสินทรัพย์ของเอเวอร์แกรนด์ผ่านหุ้นกู้ โดยผลกระทบดังกล่าวต่อเนื่องมายังประเทศไทยในฐานะประเทศคู่ค้า

นอกจากนี้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยถูกกระทบจากความกังวลที่ธนาคารสหรัฐ (เฟด) เตรียมปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรรัฐบาล เพื่อทยอยลดสภาพคล่องที่ใช้อัดฉีดในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ (QE Tapering) ซึ่งจะเห็นความชัดเจนในการประชุมสัปดาห์นี้

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ (21-23 ก.ย.) คาดว่าจะมีแนวรับที่ 1,580-1,600 จุด และแนวต้านที่ 1,630-1,637 จุด 

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า การปรับลงของตลาดหุ้นไทยวานนี้ เกิดจากความกังวลว่าเอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป จะไม่สามารถชำระคืนหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในวันที่ 23 ก.ย.นี้ได้ และยังไม่เห็นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนจากบริษัท ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ส่วนปัจจัยที่กดดันรองลงมาเป็นผลจากที่ดัชนีหลุดแนวรับทางเทคนิคที่ 1,615 จุด ทำให้มีแรงขายออกมา รวมถึงนักลงทุนบางส่วนชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนของการประชุมเฟด จึงคาดว่าแนวโน้มดัชนีในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ (21-23 ก.ย.) จะมีแนวรับที่ 1,550-1,587 จุด และแนวต้านที่ 1,650-1,660 จุด