นักวิชาการเตือน‘บิทคอยน์’ใกล้ภาวะฟองสบู่แตก

นักวิชาการเตือน‘บิทคอยน์’ใกล้ภาวะฟองสบู่แตก

“บิทคอยน์” ราคาพุ่งทำนิวไฮรายวัน ทะลุ 37,000ดอลลาร์ “นักวิชาการ” ชี้ ราคาเกินปัจจัยพื้นฐาน ใกล้ถึงจุด “ฟองสบู่” เตือนนักลงทุนไล่ซื้อมีโอกาสติดดอยสูง แนะเลี่ยงลงทุน หรือสับกลุ่มเข้าเงินดอลลาร์สกุลอื่น

ราคาบิทคอยน์วานนี้ (7ม.ค.) ยังทำจุดสูงสุดรอบใหม่ (นิวไฮ) แตะ 37,690.8 ดอลลาร์ หรือ 1.13 ล้านบาท ต่อ 1 บิทคอยน์ ณ เวลา 18.30 น. อยู่ที่ 37,342.9 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2,341.3 ดอลลาร์ หรือ 6.27%

นายอาณัติ ลีมัคเดช รองคณบดีฝ่ายวิจัย และอาจารย์ประจำภาควิชาการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ราคาบิทคอยน์ปรับขึ้นรอบใหม่นี้ ด้วย 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยฟองสบู่

โดยปัจจัยพื้นฐานเกิดจากหลังจากบิทคอยน์ฮาฟวิ่ง ราคาบิทคอยน์จะต้องขยับขึ้นเท่าตัวทันที แม้ว่าหลังบิทคอยน์ฮาฟวิ่ง เมื่อเดือนพ.ค.ปี 2563 ราคาอาจไม่ปรับขึ้นแรงทันที แต่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเม.ย.จนถึงเดือนพ.ย.ปี 2563 จาก 10,000 ดอลลาร์ หรือ 300,000 บาท มาอยู่ที่ 20,000 ดอลลาร์หรือ 600,000 บาท มองว่าที่ราคาบิทคอยน์ระดับนี้เป็นราคาตามปัจจัยพื้นฐานแล้ว

ทั้งนี้ราคาบิทคอยน์ ทะลุไปถึงระดับ 37,000 ดอลลาร์หรือ 1.11 ล้านบาท มองว่า ใกล้สู่จุด “ภาวะฟองสบู่ของบิทคอยน์” แล้ว โดย ฟองสบู่ของบิทคอยน์ รอบนี้มีทั้ง “ฟองสบู่แท้ และฟองสบู่เทียม” โดย “ภาวะฟองสบู่แท้” เป็นภาวะที่ยอมรับได้ เนื่องจาก อัตราดอกเบี้ยต่ำและสภาพคล่องล้นระบบจากมาตรการคิวอี ทำให้กองทุน ต้องหาการลงทุนยุคใหม่ โดยเงินดิจิทัล เริ่มเป็นสินทรัพย์ทางเลือก โดยเฉพาะบิทคอยน์ ที่มีสภาพคล่องสูงสุด กลายเป็นที่สนใจของนักลงทุนสถาบัน และเริ่มแนะนำนักลงทุนรายย่อยมาลงทุนบิทคอยน์ เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศและในไทยแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันยังพบว่า ยังมีปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะฟองสบู่เทียม คือ การเข้ามาลงทุนทางเทคนิคของนักลงทุนรายย่อย เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องระมัดระวังในการเข้าลงทุนบิทคอยน์อย่างมาก เพราะการเข้ามาลงทุนไล่ราคาในช่วงที่ราคาบิทคอยน์เกินปัจจัยพื้นฐานไปมากแล้ว มีความเสี่ยงติดดอยสูง ปัจจุบันราคาบิทคอยน์เกินปัจจัยพื้นฐานมาแล้วราว 17,000 ดอลลาร์ แม้ว่าจะยอมให้ราคาเกินปัจจัยพื้นฐานที่ 5,000 ดอลลาร์เท่านั้น แต่ก็ยังเกินถึง 12,000 ดอลลาร์ เป็นความเสี่ยงมากสำหรับการเข้าลงทุนในตอนนี้

ดังนั้นแนะนำว่า นักลงทุนไทย จะเข้าไปขุดบิทคอยน์ไม่ใช่ทางอยู่แล้วแม้จะเป็นโอกาสแต่ก็มีความเสี่ยงสูง หากประเมินแล้วว่าสามารถรับความเสี่ยงสูงได้ ต้องหาเงินดิจิทัลอื่น ที่ยังมีสภาพคล่องและราคายังไม่ปรับขึ้นมากแทน เช่น อีเธอเรียม (ETH) ริพเพิล (XRP)สเตลล่า (XLM) แต่ต้องมีการศึกษาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้หากต้องการเข้าลงทุนบิทคอยน์ ควรจะรอจังหวะที่ราคาปรับฐานลงมาต่ำสุดก่อน ถึงเข้าลงทุนเพื่อรอช่วงหลังฮาฟวิ่งของบิทคอยน์ครั้งถัดไป ส่วนนักลงทุนที่ถือไว้อยู่แล้วเมื่อถึงจุดที่ทำกำไรควรทยอยขายทำกำไรและสลับเปลี่ยนกลุ่ม