รีบาวด์สลับย่อ

รีบาวด์สลับย่อ

ซื้อเก็งกำไรโดยเน้นในกลุ่มที่ปัจจัยบวกสนับสนุน

ลาดหุ้นวานนี้: SET Index วานนี้รีบาวด์ขึ้น +5.49 จุด (+0.33%) ปิดที่ระดับ 1,671 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7 หมื่นล้านบาท ตอบรับข่าวธนาคารกลางจีนจะตรึงค่าเงินหยวนให้มีเสถียรภาพมากขึ้น หลังเงินหยวนอ่อนลงต่ำสุดในรอบ 11 ปี ประกอบกับได้แรงซื้อกลุ่ม ICT ช่วยหนุนดัชนีหลัง ADVANC ประกาศงบ 2Q19 ดีกว่าคาด อย่างไรก็ตาม Fund flow นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ 3,416 ล้านบาท และ Net Short TFEX จำนวน 1,757 สัญญา รวมทั้งขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 378 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้: เรามีมุมมองเป็นกลาง-บวกคาด SET ปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,680 จุดก่อนจะสลับอ่อนตัว เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการอ่อนตัวลงของเงินหยวนเพื่อการแข่งขันด้านการค้าหลังธนาคารกลางจีนเข้าแทรกแซงเพื่อให้เงินหยวนมีเสถียรภาพขึ้น ประกอบกับสหรัฐฯยังคงเปิดกว้างในการเจรจาการค้ากับจีนและพร้อมยืดหยุ่นต่อมาตรการภาษี อย่างไรก็ตามความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอจากผลกระทบ Trade war ยังคงเป็นแรงกดดันต่อ Fund Flow ต่างชาติโดยเป็น Net Sell 5 วันต่อเนื่องราว 1.2 หมื่นลบ. และฉุดให้ราคาน้ำมันดิบวานนี้ปรับตัวลงราว 2% ซึ่งเป็นลบต่อกลุ่มพลังงานและดัชนี ดังนั้น แนะนำให้ ซื้อเก็งกำไรโดยเน้นในกลุ่มที่ปัจจัยบวกสนับสนุน

** วันนี้ติดตามการประชุมกนง.คาดคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.75% รวมถึง FETCO เตรียมเข้าพบรมว.คลังเพื่อเสนอรูปแบบกองทุนใหม่ทดแทน LTF ที่จะหมดมาตรการปลายปีนี้

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q19 จะเติบโตขึ้น (EA, BGRIM, CKP, GFPT, TFG, CPALL, MTC, VGI, PLANB, MINT, VNT, WORK, MAJOR, JMT, PRM)
  • หุ้นปันผลครึ่งปีเด่น (INTUCH, ADVANC, KKP, TCAP, LH, QH)
  • Defensive Stock  (BTS, TPCH, BDMS)

หุ้นแนะนำวันนี้: AMATA (ปิด 24.7 ซื้อ/เป้า 28 บาท) ได้ Sentiment บวกจากภาพการเมืองที่ชัดเจน คาดรัฐบาลใหม่เดินหน้า EEC ต่อ ขณะเดียวกันสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐยังหนุนให้เกิดเงินทุนเคลื่อนย้ายจากจีนมาไทยเพื่อเลี่ยงปัญหา Trade war มากขึ้น, CHG (ปิด 2.24 ซื้อ/เป้า 2.6) ทยอยสะสมคาดผลกำไรใน 2Q19 จะเป็นจุดต่ำสุด (Bottom) ของปีนี้ และกำไรสุทธิใน 2H19 จะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาลจากรายได้ประกันสังคมที่ฟื้นตัว นอกจากนี้โรงพยาบาลใหม่ 2 แห่ง จะขาดทุนลดลงและคาดว่าจะเริ่มทำกำไรตั้งแต่ 4Q19 เป็นต้นไป

KSS report วันนี้INTUCH (ปิด 63.75 ซื้อ/เป้าใหม่ 75 เดิม 69บาท), PTT (ปิด 45.5 ถือ/เป้า 50 บาท)

ประเด็นสำคัญวันนี้:

  • (-) น้ำมันดิบยังไม่ฟื้น WTI ปิดต่ำสุดในรอบ 1 เดือนครึ่ง ขณะที่ Brent ปิดต่ำสุดในรอบ 7 เดือน: ปัญหา Trade war ที่ขยายตัวเป็น Currency war สร้างความกังวลให้กับตลาดน้ำมันเป็นอย่างมากเพราะปัญหาดังกล่าวจะกดดันให้ความต้องการน้ำมันดิบในอนาคตปรับตัวลงเป็นลบต่อราคาน้ำมัน โดยจีนใช้การตอบโต้สงครามการค้ากับสหรัฐด้วยมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี โดยล่าสุดทำการลดค่าเงินหยวนลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้า รวมถึงน้ำมันจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์กันว่าจีนอาจจะตอบโต้สหรัฐอีกด้วยการหันไปซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่าน ซึ่งมีหลายสำนักเศรษฐกิจออกบทวิเคราะห์ว่าหากจีนตัดสินใจดังกล่าว จะทำให้ราคาน้ำมันดิบลดลงไปสู่ระดับ 20$/bbl
  • (+/-) คาด กนง.คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1.75% แต่ตัวเลขเศรษฐกิจที่เริ่มทรุดตัวจะกดดันให้แบงก์ชาติอาจต้องลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี: เราและตลาดส่วนใหญ่คาดว่าที่ประชุม กนง.ในวันนี้จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% ตามเดิม ส่วนหนึ่งเพื่อรอประเมินผลกระทบจากปัญหา Trade war & Currency war ที่กำลังเกิดขึ้นรวมไปการดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่กำลังจะออกมา อย่างไรก็ตามเรามองว่าจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ อาทิ ตัวเลขส่งออกติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4, ตัวเลข GDP ไตรมาส 1/19 ขยายตัว 2.8% ต่ำสุดในรอบ 4 ปี และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.98% ถือว่าต่ำมาก ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากสุดในเอเชีย ซึ่งลดทอนศักยภาพการส่งออกของไทย เรามองว่าปัจจัยเหล่านี้จะกดดันให้แบงก์ชาติจะต้องลดดอกเบี้ยลงอย่างน้อยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้
  • (+) ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับขึ้นสู่โซน "ร้อนแรง" เป็นครั้งแรกในรอบห้าเดือน กลุ่มค้าปลีกน่าสนใจที่สุด : สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) รายงานดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในช่วง 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 131.21 หรือเพิ่มขึ้น 19.89% จากเดือนก่อนหน้านับเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง และเป็นการปรับขึ้นสู่โซนร้อนแรง (Bullish) เป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน (โซนร้อนแรงจะมีค่าดัชนีในช่วง 120-159) เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นหลังจากที่เห็น Fund flow ไหลเข้า และคาดหวังว่าภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา โดยกลุ่มธุรกิจที่นักลงทุนมองว่าน่าสนใจที่สุดคือกลุ่ม ค้าปลีก ส่วนกลุ่มที่นักลงทุนไม่สนใจคือกลุ่ม สื่อสิ่งพิมพ์