บลจ.ชู 'กองตราสารระยะสั้นนอก' ลดผันผวนดบ.ขาขึ้น

"บลจ." ชูกองตราสารระยะสั้นนอก ลดผันผวนช่วง "ดอกเบี้ยขาขึ้น"
ภายหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% และมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอีกราว 2-3 ครั้งในปีนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในภาวะขาขึ้น ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมหลายแห่งได้เล็งเห็นโอกาสที่จะออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีนโยบายไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศเพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนดัก
รัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. แอสเซท พลัส กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ผนวกกับการส่งสัญญาณที่อาจปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะปานกลาง-ระยะยาวปรับตัวลดลง ผู้ลงทุนจึงควรลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้กลุ่มดังกล่าว และเลือกกระจายการลงทุนการลงทุนไปในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย (Duration) ไม่เกิน 2 ปีเพื่อลดความผันผวนจากอัตราผลตอบแทนในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มโอกาส ในการลงทุนผ่านตราสารหนี้ทั่วโลกให้แก่ผู้ลงทุนกลุ่ม AI ที่ยังคงต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสูงจากการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น-ปานกลางในสภาวะจากดอกเบี้ยขาขึ้น จะเสนอขาย กองทุนเปิดแอสเซทพลัส ตราสารหนี้ต่างประเทศพลัส ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (ASP-FFPLUS) เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุน เปิดขายไอพีโอถึงวันที่ 11 เม.ย. 2560
“กองทุน ASP-FFPLUS ตอบโจทย์การลงทุนในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น เนื่องจากมีกลยุทธ์คัดเลือกตราสารหนี้ทั่วโลกและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนให้สูงกว่าเงินฝาก หุ้นกู้ระยะกลางและยาวในประเทศ รวมถึงกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศทั่วไป โดยจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ High Yield ในต่างประเทศที่มี อายุ 1-2 ปี ควบคู่กองทุนรวมตราสารหนี้ในต่างประเทศหรือตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่องสูง"
เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนส่วนใหญ่ในกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศภายใต้การบริหารของ AXA Investment Managers บริษัทจัดการลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญตราสารหนี้ High Yield ทั่วโลก ส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่ บลจ. แอสเซท พลัส คัดสรรเอง มุ่งเน้นตราสารหนี้ของบริษัทที่แนวโน้มผลประกอบการดี
กองทุน ASP-FFPLUS สามารถซื้อ-ขายได้ ทุกวันทำการ ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรก 510,000 บาท
ไทยพาณิชย์ชูไฮยิลด์บอนด์สั้นสหรัฐ
ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ. ไทยพาณิชย์ กล่าวถึงลงทุนตราสารหนี้ในช่วงดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ในทิศทางขาขึ้นขณะนี้ว่า ตราสารที่น่าลงทุนคือตลาดตราสารหนี้ระยะสั้นHigh Yieldของสหรัฐ ซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตราสารหนี้ประเภทInvestment Gradeและตราสารหนี้ในภูมิภาคอื่น
ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค.2559 พบว่าตราสารหนี้ระยะสั้น High Yield ของสหรัฐอายุ 1.7 ปี มีอัตราผลตอบแทน อยู่ที่ 2.6% ขณะที่ตราสารหนี้ประเภท Investment Grade ของสหรัฐ อายุ 7 ปี อัตราผลตอบแทน 0.5% ส่วนตราสารหนี้ยุโรป Investment Gradeอายุ 5.4 ปี อัตราผลตอบแทน อยู่ที่ 0.2% เป็นต้น
ปัจจุบันมูลค่าพื้นฐานของตราสารหนี้ประเภท High Yield สามารถชดเชยความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ได้ และยังซื้อขายที่ราคาใกล้พาร์ที่ระดับอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสมแม้จะอยู่ในช่วงที่ส่วนต่างราคาขยายตัว
ที่ผ่านมาบลจ.ไทยพาณิชย์ได้ร่วมกับธนาคารซิตี้แบงก์ ขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ US Short Duration High Income (SCBUSHY) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Allianz US Short Duration High Income Bond : Share class AT (USD) Acc.สกุลเงินดอลลาร์ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ประเภท High Yield ที่ออกหรือการันตีโดยบริษัทที่จดทะเบียนในสหรัฐ
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ US Short Duration High Income (SCBUSHY) ขายครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 - 27 มี.ค.ที่ผ่านมา และจะเปิดให้ซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย.เป็นต้นไป
กรุงศรี ขายตราสารหนี้นอก 6 เดือน
ศิรพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงศรี กล่าวว่าเปิดขายกรุงศรีตราสารหนี้ต่างประเทศ 6M18 (KFFIF6M18) อายุ 6 เดือน มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีระยะเวลาลงทุน 6 เดือน เช่น เงินฝากธนาคาร First Gulf Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) เงินฝากธนาคาร Bank of China (BOC) (จีน) เงินฝากธนาคาร Union National Bank (UNB) (สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์) กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนราว 1.55% ต่อปี
กรุงไทยขายตราสารสั้น
ชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย กล่าวว่า เปิดขาย กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 140 ถึงวันที่ 3 เม.ย.2560 อายุ 6 เดือนมูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนประมาณ 1.45% ต่อปี เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ประเภทเงินฝากประจำในธนาคารในตะวันออกกลางและในจีน ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
"ผลตอบแทนของตราสารหนี้ในประเทศ ปรับตัวขึ้นลงในช่วงแคบ ตามแรงซื้อขายของนักลงทุนในแต่ละช่วงอายุ โดยตลาดตอบรับการประมูลพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุคงเหลือ 10 ปี ค่อนข้างดี มีเงินนอกไหลเข้าตลาดพันธบัตรกว่าหมื่นล้าน ส่วนอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพิ่มขึ้นในตราสารอายุต่ำกว่า 1 ปี ในขณะที่อายุ 2 ปีขึ้นไป ลดลงจากแรงซื้อ เนื่องจากกังวล นโยบายการคลังของประธานาธิบดีสหรัฐ ขณะที่ ปัจจัยที่ต้องติดตาม ยังคงเป็นเศรษฐกิจสหรัฐ และเศรษฐกิจโลก ผลกระทบของ Brexit







