บาร์เทอร์คาร์ดเกาะกระแส‘อีเพย์เมนต์’โต

บาร์เทอร์คาร์ดเกาะกระแส‘อีเพย์เมนต์’โต

จากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในปีนี้ ทำให้ผู้ประกอบการหลายกลุ่มธุรกิจระวังการใช้จ่ายกระแสเงินสดเพื่อการลงทุนและการขยายธุรกิจ

ส่งผลให้ผู้ประกอบการมองหา “เครื่องมือการค้า”หรือการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้น 

            เรวดี วัฏฏานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บาร์เทอร์คาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทในเครือ“บาร์เทอร์คาร์ด”ออสเตรเลีย ผู้ให้บริการระบบแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการโดยไม่ใช้เงินสด กล่าวว่าปัจจุบันกระแส“อีเพย์เมนต์”เข้ามามีบทบาทในการทำธุรกิจมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อต่อบาร์เทอร์คาร์ด ซึ่งเป็นช่องทางการชำระเงิน ที่ทำให้ผู้ประกอบการสามารถชำระค่าสินค้าหรือบริการที่ธุรกิจต้องการได้ด้วยมูลค่าสินค้าหรือบริการของตนเอง

“อีเพย์เมนต์ ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การทำธุรกรรมต่างๆ เป็นไปได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น”

โดยบาร์เทอร์คาร์ดได้พัฒนาระบบอีเพย์เมนต์ ตั้งแต่การทำธุรกรรมผ่าน“โมบาย แอพ”และ“เว็บไซต์”โดยพัฒนาระบบให้ใช้งานได้ง่ายและสะดวก เพื่อตอบโจทย์การทำธุรกิจของสมาชิก

อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ที่ภาคธุรกิจต้องการเลือก“เก็บเงินสด” ไว้ใช้หมุนเวียนในการบริหารงานแต่ละวัน ธุรกิจของบาร์เทอร์คาร์ด จึงได้เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจโดยตรง ด้วยการเสนอวงเงินสินเชื่อที่ไม่มีดอกเบี้ยให้ลูกค้า ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ ให้สามารถนำไปซื้อสินค้าหรือบริการที่จำเป็น เพื่อเพิ่มกระแสเงินสดให้ธุรกิจ 

สภาวะที่ธุรกิจส่วนใหญ่ต่าง“จำกัดงบประมาณ”การใช้จ่าย บาร์เทอร์คาร์ดสามารถช่วยให้ธุรกิจทำการตลาดเพิ่มขึ้นได้ โดยใช้ เทรดบาท ในการทำการตลาดผ่านสื่อต่างๆ ของกลุ่มสมาชิกบาร์เทอร์คาร์ด เช่น โทรทัศน์ วิทยุ บิลบอร์ด เป็นต้น เมื่อธุรกิจได้ทำการสื่อสารการตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายในขณะที่คู่แข่งได้ชะลอส่วนนี้ไป ยิ่งทำให้การตลาดที่ทำไปถึงเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย 

ในประเทศไทย บาร์เทอร์คาร์ด มีสมาชิกมากกว่า 3,000 ธุรกิจ แบ่งเป็นธุรกิจเอสเอ็มอี 85% ธุรกิจขนาดใหญ่ 15% และมีพันธมิตรทางธุรกิจใหม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกกว่า 60 ธุรกิจต่อเดือน  ปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มสมาชิกใหม่อีก 550 ราย รวมเป็น 3,550 ราย

แม้เศรษฐกิจปีนี้ยังอยู่ในภาวะทรงตัว แต่บริษัทยังเดินหน้ากลยุทธ์การทำตลาด ทั้งการเพิ่มเครื่องมือและพัฒนาการให้บริการกับธุรกิจสมาชิก เน้นการทำงานร่วมกันเพื่อตอบโจทย์ให้ตรงเป้าหมายกับแต่ละธุรกิจ และพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อช่วยให้การเข้าถึงข้อมูล โปรโมชั่นสินค้า หรือการทำธุรกรรมง่ายขึ้น รวมถึงการจัดกิจกรรม“เทรดโชว์” เพื่อให้นักธุรกิจได้มีโอกาสต่อยอดธุรกิจ

โดยวางเป้าหมายยอดการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการปีนี้อยู่ที่ 950-1,000 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 945 ล้านบาท ปัจจุบันภาพรวมธุรกิจตัวกลางแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการในไทยมีมูลค่าราว 1,000 ล้านบาท บาร์เทอร์คาร์ดเป็นผู้นำในตลาดครองสัดส่วน 95% และที่เหลืออีก 5% เป็นบริษัทรายย่อย 

            ทั้งนี้ จากการที่บาร์เทอร์คาร์ด ประเทศไทย ได้รับสิทธิจากบริษัทแม่ออสเตรเลีย ให้ขยายงานในภูมิภาค บริษัทจึงมีแผนควบรวมกิจการเทรดเดอร์ในสิงคโปร์และมาเลเซีย โดยอยู่ในขั้นตอนการเจรจารายละเอียดด้านกฎหมายท้องถิ่น คาดชัดเจนในอีก 1-2 ปีข้างหน้า

แนวทางการขยายธุรกิจในภูมิภาคดังกล่าวจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าสมาชิกในไทยมีเครือข่ายทางธุรกิจและโอกาสเข้าไปขยายตลาดในสิงคโปร์และมาเลเซียมากขึ้น  ปัจจุบันบาร์เทอร์คาร์ดไทย มีสัดส่วนการบาร์เทอร์ระหว่างประเทศกับสมาชิกในเครือบาร์เทอร์คาร์ดทั่วโลก สัดส่วน 15% ของยอดรวมทั้งหมด

"กุญแจสำเร็จของธุรกิจบาร์เทอร์สินค้าและบริการ คือการเพิ่มจำนวนลูกค้าสมาชิกธุรกิจ ยิ่งมีความหลากหลายยิ่งตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น และลูกค้าตัดสินใจเลือกใช้บริการผ่านตัวกลางบาร์เทอร์นั้นๆ”