'เบรล แอนด์ ซาวด์ ฟอร์บลายด์'หนังสือเสียงคนในโลกมืด

'เบรล แอนด์ ซาวด์ ฟอร์บลายด์'หนังสือเสียงคนในโลกมืด

หนังสือเรียนเปล่งเสียงได้เพื่อผู้พิการทางสายตาคือผลงานของ“เบรล แอนด์ ซาวด์ ฟอร์บลายด์”กิจการเพื่อสังคมที่จะเปลี่ยนโลกใบใหม่ให้น้องๆ ในโลกมืด

ลูกโป่งฟองสบู่ ลอยเด่นอยู่ในอากาศ นกสองตัวบินโผอยู่บนท้องฟ้า เด็กน้อยโลดเต้นกลางสนามหญ้า ร่มไม้ใบเขียว กับตัวเลขบอกระยะทางบนพื้นถนน เหล่าภาพถ่ายที่อาจไม่สวยงามเท่าช่างภาพมืออาชีพ แต่กลับสมบูรณ์ในองค์ประกอบ จนแทบไม่น่าเชื่อว่า นี่จะเป็นผลงานของน้องผู้พิการทางสายตา..คนที่ไม่เคยเห็นภาพเหล่านี้ด้วยสายตาของพวกเขา

เราได้รับโปสการ์ดสวยๆ แทนคำกล่าวทักทายจากชาว “เบรล แอนด์ ซาวด์ ฟอร์บลายด์” กิจการเพื่อสังคมที่ผลิตสื่อการเรียนอักษรเบรลล์เบื้องต้นพร้อมภาพและเสียงประกอบ สำหรับเด็กปฐมวัยที่มีความพิการทางสายตา โดย “เฟิร์น-สุสินี ขนอม” , “ไอซ์-สุจิตรา วัดล้อม” และ “เอ็กซ์–สถาพร สายใจ” คนรุ่นใหม่วัย 25, 26 และ 31 ปี ผู้ก่อตั้งกิจการน้ำดีเพื่อหนูน้อยในโลกมืด

จุดเริ่มต้นของหนังสือเปล่งเสียงได้ มาจากโปรเจคระหว่างเรียนของนิสิตสาขาผู้ประกอบการและนวัตกรรม วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล(CMMU) เฟิร์นและไอซ์ โดยทั้งสองคนเรียนมาทางด้านธุรกิจ แต่สนใจในมิติเพื่อสังคม หลังทำงานเป็นอาสาสมัครช่วยกิจกรรมของโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพอยู่บ่อยครั้ง พอต้องมาคิดนวัตกรรมทำโปรเจคจบ ก็มองต่างจากเพื่อนคนอื่น โดยนำเสนอโครงการกิจการเพื่อสังคมหนังสือเสียงเพื่อคนตาบอด

“ตอนแรก เราไปดูบรรยากาศในห้องเรียนของน้องๆ พบปัญหาว่า หนังสือเรียนอักษรเบรลล์ มีแต่เล่มเก่าๆ และทำมือเสียส่วนใหญ่ แถมยังมีไม่เพียงพอ ก็ต้องแย่งกัน ขณะที่อักษรเบรลล์ กว่าจะเรียนเข้าใจได้นั้น ต้องใช้เวลา เราเลยคิดว่า ถ้ามีสื่ออะไรสักอย่างมาช่วยให้เขาเรียนได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น แล้วก็มีใช้อย่างเพียงพอ ก็น่าจะดี เลยมาคิดเป็นโครงการนี้”

น้องๆ บอกสถิติว่า คนตาบอดที่ลงทะเบียนทั่วประเทศมีอยู่ถึง 6 แสนคน ในจำนวนนี้มีคนที่อ่านอักษรเบรลล์ได้แค่ประมาณ 1% เท่านั้น และยิ่งระดับการศึกษาสูงขึ้น จำนวนคนตาบอดที่เรียนจบก็ยิ่งน้อยลงทุกที โดยส่วนใหญ่จะสิ้นสุดแค่อนุบาล ถึง ป. 6 เท่านั้น ส่วนที่เรียนไปจนจบปริญญาตรี สามารถทำงานดีๆ จนเลี้ยงดูตัวเองได้ ยังเป็นตัวเลขที่น้อยนิด

“เราจะพยายามให้เด็กมีการศึกษาให้มากที่สุด เพราะการศึกษานั้นสำคัญ มองว่า การให้ของกิน หรือให้อะไร ใครๆ ก็ให้ได้ แต่ว่าการให้เขาใช้ชีวิตด้วยตัวเองด้วยการศึกษานั้น เป็นอะไรที่สำคัญและดีกว่ามาก” พวกเขาบอก

จากแรงบันดาลใจ นำมาสู่ความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง ทว่าจะทำอย่างไรในเมื่อทักษะที่ทั้งสองคนมีก็แค่มุมมองของธุรกิจและสังคม ส่วนพื้นฐานความรู้ด้านเทคโนโลยีนั้น ยังเป็นอะไรที่ไกลตัวอยู่มาก ที่มาของการไปขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่ “เอ็กซ์” อดีตหนุ่มวิศวะลาดกระบัง ที่เคยทำหุ่นยนต์ประกวดระหว่างเรียน ซึ่งในตอนนั้นกำลังเรียนอยู่ในสาขาการจัดการและกลยุทธ์อยู่ที่ CMMU คนหนุ่มไม่เพียงมีความรู้ แต่เขายังมีจิตสาธารณะและชอบช่วยเหลือคนเป็นทุนเดิม

“ผมเองชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ได้คิดและทำอะไรใหม่ๆ ซึ่งนอกจากจะได้ช่วยเหลือคนอื่น ก็ยังได้พัฒนาตัวเองไปด้วย ผมมองว่าสำหรับผู้พิการนั้น ด้วยตัวเขาคงไม่สามารถทำหรือพัฒนาอะไรขึ้นมาได้เอง ฉะนั้นหากเราพอ ทำอะไรได้ ก็น่าที่จะช่วยส่งเสริมเขา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์อะไรก็ตาม เพื่อให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

สามพลังแข็งขันเลยได้ร่วมกันสร้าง เบรล แอนด์ ซาวด์ ฟอร์บลายด์ ขึ้น และพัฒนาหนังสือเสียงตัวต้นแบบขึ้นมาได้สำเร็จ ซึ่งหลังจบโครงการระหว่างเรียน โปรเจคเดียวกันถูกส่งต่อไปยังเวทีประกวด โครงการ “พลังเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคม ปีที่ 5” (Banpu Champions for Change 5) โดย บมจ.บ้านปู และ Change Fusion จนสามารถติด 1 ใน 10 กิจการเพื่อสังคม คว้าเงินรางวัลมาสานต่อโครงการได้ที่ 5 หมื่นบาท

การไปอยู่ในเวทีที่ “ถูกที่ถูกทาง” ท่ามกลางคนทำงานกิจกรรมเพื่อสังคมแบบเดียวกัน ช่วยต่อประกอบความฝัน ให้ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น โดยจากการทำหนังสือเล่มเดียว ที่เน้นตำราเรียนพื้นฐานอักษรเบรลล์ ก.-ฮ. และ A-Z เป็นหลัก ซึ่งต้องรับมือโจทย์ใหญ่อย่าง ใช้เวลาในการทำนานเพราะเป็นงานแฮนด์เมด แถมยังมีต้นทุนในการผลิตสูงถึงเล่มละ 700-800 บาท ต่อปริมาณการพิมพ์ระดับพันเล่มขึ้นไป กลายเป็นข้อจำกัด ทั้งในการขยายโอกาสสู่น้องๆ ผู้พิการ และความอยู่รอดในเชิงธุรกิจ

จึงเป็นที่มาของการปรับแผนธุรกิจใหม่ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็น “แฟลชการ์ด” ที่แค่นำบัตรคำศัพท์พร้อมรูปภาพในอักษรเบรลล์ มาเสียบในอุปกรณ์ที่ใช้อ่านการ์ด ก็จะมีเสียงออกมา เพื่อให้น้องๆ ผู้พิการทางสายตาได้ฝึกความจำอย่างสนุก การมีอุปกรณ์ตัวเดียว แต่สามารถเสียบการ์ดได้หลายแบบ ทำให้ง่ายต่อการผลิต เรียกว่า ทำแค่ตัวเครื่อง ส่วนกระดาษเป็นเรื่องของโรงพิมพ์ กระบวนการผลิตจึงง่ายขึ้น เร็วขึ้น ใช้ได้ทน อยู่ได้นาน และต้นทุนไม่แพงเท่าหนังสืออีกด้วย จึงสามารถกระจายสู่น้องๆ ได้มากขึ้น ปิดจุดอ่อนในช่วงเริ่มต้น

ปัจจุบันน้องๆ ยังอยู่ระหว่างระดมทุน เพื่อหวังให้มีเม็ดเงินมาหมุนเวียนในธุรกิจ เพื่อทำให้โครงการจากความตั้งใจให้ประสบความสำเร็จขึ้นมาได้ โดยการทำตลาด จะทำทั้งผ่านกลุ่มองค์กรที่ต้องการทำโครงการซีเอสอาร์ให้กับน้องๆ ผู้พิการทางสายตา ส่วนหนึ่งจะจำหน่ายให้กับผู้ปกครองของน้องๆ ที่มีความพร้อม ผ่านช่องทางหลักอย่าง Facebook/ Braille-and-sound-for-blind เพื่อนำรายได้จากคนมี มาผลิตสินค้าให้ผู้ด้อยโอกาสสามารถใช้ได้ฟรี ซึ่งนั่นคือจุดยืนที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นของพวกเขา

ทั้งสามคนมีงานประจำในเส้นทางของตัวเอง โดยเฟิร์นเป็นทายาทธุรกิจ เธอยังทำงานในธุรกิจครอบครัว ขณะเดียวกันก็แบ่งเวลามาทำงานเพื่อสังคม และยังคงแวะเวียนไปเยี่ยมน้องๆ ที่โรงเรียนสอนคนตาบอดอย่างสม่ำเสมอ เธอว่า ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเลย เพราะแค่ได้ไปเจอน้องๆ ได้เห็นทุกคนมีความสุข ได้อยู่ในบรรยากาศที่มีแต่คนรัก เท่านี้เธอก็สุขมากพอแล้ว

“ตอนแรกก็คิดว่า จะไปเติมความรักให้กับพวกเขา แต่ปรากฏเขาต่างหากที่เติมความรักให้กับเรา มันคือการเติมพลัง ไม่ได้มองว่านี่คืองาน แต่คือความสุข”

ขณะที่ไอซ์ ทำงานเป็นเซลส์ในบริษัทแห่งหนึ่ง งานของเธอมีเรื่องให้กดดันมากมาย แต่การมาทำ SE เธอบอกว่า รู้สึกมีกำลังใจ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่หาจากในที่ทำงานทั่วไปไม่ได้

“ที่สนใจน้องๆ ตาบอด เพราะรู้สึกทึ่งที่บางอย่างซึ่งเราคิดว่า เขาทำไม่ได้หรอก อย่าง การบวกเลข ถ่ายภาพ เล่นดนตรี หรือแปลเอกสาร แต่เขากลับทำได้ ซึ่งความสามารถพิเศษบางอย่างเกินกว่าคนธรรมดาด้วยซ้ำ เพียงแต่เราต้องหาให้เจอ เขาจะได้ใช้เลี้ยงตัวเองได้ และสร้างคุณค่าให้กับสังคมได้ด้วย”

ปิดท้ายด้วยพี่ใหญ่ เอ็กซ์ ปัจจุบันทำงานในบริษัทชิปปิ้ง รับหน้าที่ออกแบบแพลทฟอร์มที่ช่วยทำให้การขนส่งต่างๆ ง่ายขึ้น มีหน้าที่การงานที่ดีแต่เขายังเลือกแบ่งเวลามาพัฒนาเทคโนโลยีช่วยน้องๆ ผู้พิการ โดยไม่รับรายได้ด้วยซ้ำ เขาว่า ชอบงานที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่แค่งานที่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น

ในเส้นทางผู้ประกอบการสังคม ยังมีความท้าทายอยู่รอบด้าน น้องๆ บอกว่า การทำธุรกิจเพื่อสังคม ไม่ได้มีกำไรแค่ในรูปของตัวเงินเท่านั้น แต่ยังเป็นกำไรในแง่การเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้สังคมดีขึ้นด้วย ซึ่งในตอนนี้พวกเขายังมีแรง มีไฟ และโลกยังสวยงามอยู่ ก็ขอมุ่งมั่นกับมันให้เต็มที่ และแม้จะล้มก็ยังมีแรงลุก ก็แค่ทำไป เพราะเชื่อว่า ถ้าได้ทำอะไรที่ดี ก็ย่อมมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเสมอ

“มีประโยคหนึ่งที่มองว่า ดีมาก คือคำที่เขาบอกว่า สิ่งที่แยกระหว่างคนช่างเพ้อฝัน กับคนที่มีฝันออกจากกัน ก็คือการลงมือทำ ฉะนั้นถ้าอยากสำเร็จก็แค่...ลงมือทำ”

เจ้าของภาพถ่ายในโปสการ์ดมีชื่อว่า “น้องยูริ” วัย 8 ขวบ ผู้พิการทางสายตา 100% ภาพของน้องเหมือนกำลังเปล่งเสียงบอกเราว่า ในโลกมืดก็ยังสว่างและสดใสได้ เพียงแค่พวกเราให้โอกาสพวกเขาเท่านั้น