QE จะไปในทิศทางใด

การลด QE ต้องเกิดไม่ช้าก็เร็ว และเฟดสามารถปรับ เพิ่ม-ลด-ยุติ ได้ตามความเหมาะสม แนะนักลงทุนไม่ควรวิตกกังวลจนเกินไป
นับตั้งแต่ที่ "ธนาคารกลางสหรัฐ (FED)" ประกาศใช้ "มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing : QE)" เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวจากภาวะถดถอย โดยเฟดประกาศซื้อพันธบัตรเดือนละ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการเพิ่มเงินเข้าสู่ตลาด ส่งผลให้มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นทั่วโลกมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) จนกระทั่งเดือนพ.ค.ปีนี้ เฟดได้เริ่มส่งสัญญาณว่าอาจเริ่มลดขนาดของมาตรการ QE ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มมีความผันผวนมากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าสภาพคล่องในระบบจะลดลง และเงินจะไหลกลับไปสหรัฐมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเฟดจะเริ่มลด QE เป็นครั้งแรกในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา แต่เมื่อถึงกำหนดปรากฎว่าเฟดไม่ได้ประกาศลดขนาด QE ตามที่ตลาดคาด โดยให้เหตุผลว่าในช่วงนั้นเศรษฐกิจยังคงมีความไม่แน่นอนจาก "ปัญหางบประมาณ" และ "เพดานหนี้ของสหรัฐ" ซึ่งส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐของสหรัฐบางแห่งต้องปิดดำเนินการชั่วคราว
สำหรับสถานการณ์ล่าสุด นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเฟดจะเริ่มลด QE ในเดือนมี.ค. เนื่องจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าประธานเฟดคนต่อไป คือ "นางเจเน็ต เยลเลน" มีแนวโน้มไปในทางสนับสนุนการใช้มาตรการผ่อนคลาย เพราะนางเยลเลนเป็นผู้ออกแบบมาตรการ QE ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และการแสดงความเห็นของนางเยลเลนก็มักจะโน้มเอียงไปทางคงมาตรการผ่อนคลายต่อไป
แล้วทำไมนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ถึงมองว่าน่าจะเป็นเดือนมี.ค.ที่เฟดจะเริ่มลดขนาด QE?
โอกาสที่เร็วที่สุดที่เฟดจะเริ่มลด QE คือในการประชุมของเฟดระหว่างวันที่ 17 - 18 ธ.ค. ซึ่งจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายในสมัยของ "นายเบน เบอร์นันเก้" ประธานเฟดคนปัจจุบัน ที่จะมีการให้มุมมองเศรษฐกิจของเฟดและมีการแถลงข่าว ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าตัวเลขการจ้างงาน อาจจะยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ และนายเบอร์นันเก้น่าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของประธานเฟดคนต่อไปตัดสินใจว่าจะลด QE เมื่อใด ในขณะที่การประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 28 - 29 ม.ค. จะไม่มีการประเมินเศรษฐกิจและไม่มีการแถลงข่าว นักวิเคราะห์จึงมองว่าน่าจะมีโอกาสน้อยมากที่เฟดจะประกาศเริ่มลด QE ในการประชุมครั้งแรกของปีหน้า ดังนั้นการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 18 - 19 มี.ค. จึงมีโอกาสมากที่สุด เพราะนอกจากจะมีการประเมินภาวะเศรษฐกิจและมีการแถลงข่าวแล้ว โครงสร้างคณะกรรมการเฟดที่มีสิทธิ์ออกเสียงจะเปลี่ยนไปด้วย โดยกรรมการเฟดที่มีแนวโน้มสนับสนุนให้ยกเลิกการใช้มาตรการ QE 3 ท่านจะเข้ามามีสิทธิ์ออกเสียง ในขณะที่กรรมการเฟด 3 ท่านที่สนับสนุนให้คงมาตรการ QE จะหมดวาระ ส่งผลให้การลงคะแนนเสียงของเฟดในปีหน้ามีแนวโน้มไปทางยกเลิกมาตรการ QE มากขึ้น
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าโอกาสที่เฟดจะเริ่มลด QE ในเดือนธ.ค.นี้ ยังคงมีอยู่ เพราะคาดว่านายเบอร์นันเก้อาจจะไม่ต้องการปล่อยให้เป็นภาระของนางเยลเลนในการตัดสินใจเกี่ยวกับ QE และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯล่าสุดก็ออกมาดีกว่าที่คาด
ดังนั้น ปัญหาเรื่องที่ว่า เฟดจะเริ่มลด QE เมื่อใด จะยังคงเป็นปัจจัยที่รบกวนตลาดต่อไป เพราะเมื่อใดที่ตลาดกังวลว่าเฟดจะเริ่มลด QE ตลาดหุ้นและราคาทองคำก็มักจะปรับตัวลดลง แต่หากตลาดมองว่าเฟดจะยังคง QE ต่อไป ตลาดหุ้นและราคาทองคำก็มักจะปรับตัวขึ้น สำหรับปัจจัยหลักที่นักลงทุนใช้ประเมินว่าเฟดจะเริ่มลด QE เมื่อใด ได้แก่ การแสดงความคิดเห็นของคณะกรรมการเฟดเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและ QE แต่เนื่องจากคณะกรรมการเฟดเองก็มีความคิดเห็นแตกต่างกัน กล่าวคือมีทั้งสนับสนุนให้คง QE และสนับสนุนให้เลิก QE ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของตลาดจึงขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนให้ความคิดเห็นต่อทิศทางการดำเนินนโยบาย และถึงแม้นางเยลเลน ซึ่งมีแนวโน้มสนับสนุนการคงมาตรการ QE จะได้เป็นประธานเฟดคนต่อไป แต่คะแนนโหวตของนางเยลเลนก็มีเท่ากันกับคณะกรรมการท่านอื่น (มี 1 เสียงเท่ากัน)
ส่วนอีกปัจจัยที่อาจบ่งชี้ถึงแนวโน้มของการดำเนินมาตรการ QE ได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะตัวเลขภาคแรงงานและภาคที่อยู่อาศัย ซึ่งเฟดตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเลิก QE เมื่ออัตราการว่างงานลดลงสู่ร้อยละ 6.5 จึงมีแนวโน้มว่าหากตัวเลขภาคแรงงานออกมาดี ก็น่าจะกดดันต่อความคาดหวังของตลาดว่า โอกาสที่เฟดจะลด QE มีมากขึ้น แต่การที่ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีอาจส่งผลต่อตลาดหุ้นได้ทั้งสองทาง กล่าวคือ หากนักลงทุนให้น้ำหนักกับการลด QE มากกว่า ตลาดหุ้นก็มีแนวโน้มปรับตัวลดลง แต่ถ้านักลงทุนให้น้ำหนักกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ตลาดหุ้นก็มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ดีเป็นความจริงที่ว่า การเริ่มลดมาตรการ QE จะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว และเฟดสามารถปรับ "เพิ่ม" หรือ "ลด" หรือ "ยุติการลดขนาด QE" ได้ตามความเหมาะสม ดังนั้น นักลงทุนไม่ควรกังวลต่อการลดมาตรการ QE มากจนเกินไป เพราะหากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง การลดมาตรการ QE หมายความว่า เฟดมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจของโลกลดลง และน่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวมด้วยเช่นกัน




