Moral Capital 'แก่นคิด' ขับเคลื่อนธุรกิจ-สังคมยั่งยืน

เมื่อการทำธุรกิจ ไม่ได้ทำให้ศก.เติบโตยั่งยืน ก่อวิกฤติในหลากหลาย Moral Capital จริยธรรมสังคม จึงเป็นนวัตกรรมที่ถูกปลุกขึ้นเพื่อตอบโจทย์นี้
Caux Round Table เครือข่ายระดับโลกของผู้นำภาคธุรกิจชั้นนำจากทั่วโลกด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ถือเป็นองค์กรหนึ่งที่ร่วมขับเคลื่อนด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนเมื่อหลายปีก่อน หลังประเมินกันว่า เพราะเหตุใดการพัฒนาที่ผ่านมา จึงยังทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง โลกจะก้าวต่อไปอย่างไร แนวทางที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน คือ “จริยธรรม” เท่านั้น จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้เกิดความยั่งยืนในอนาคตอย่างแท้จริง
เพราะจิตสำนึกด้านจริยธรรมจะนำสู่ความเปลี่ยนแปลงของแนวคิดและพฤติกรรม ไม่ว่าจะเป็นจุดยืนการทำธุรกิจ วิถีบริโภค การใช้ชีวิต จึงเป็นกรอบที่ช่วยหล่อหลอมให้เกิดความยั่งยืนได้
ดังนั้น “Moral Capital” หรือจริยธรรมทางสังคมจึงเป็นเครื่องมือที่ถูกสังเคราะห์ขึ้น และนำเสนอให้เป็นหนทางพัฒนา ตลอดจนแนวทางทำธุรกิจ
“แนวคิดนี้อยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง ความรับผิดชอบ ความเป็นธรรมในการดำเนินธุรกิจ หลักสำคัญ คือ การเคารพผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มในการทำธุรกิจ ไม่เฉพาะผู้ถือหุ้นเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทำธุรกิจที่ผิดต่อกฎหมาย และมนุษยธรรม” นิกม์ พิศลยบุตร ผู้แทน Caux Round Table ประเทศไทย กล่าว
Moral Capital ได้วางหลักให้ภาคธุรกิจแสดงความรับผิดชอบต่อ 6 ภาคส่วน ประกอบด้วย 1. ผู้บริโภค นั่นคือ ให้ผู้ประกอบการนำเสนอสินค้าต่อตลาด เพื่อรองรับความจำเป็นของผู้บริโภคอย่างแท้จริง 2. กลุ่มลูกจ้าง ด้วยการเปลี่ยนมุมมองความสัมพันธ์เป็นการยอมรับนับถือ และเคารพกันในฐานะผู้มีหน้าที่ต่อกัน ไม่ใช่ผู้ขายแรงงาน 3. เจ้าของธุรกิจและผู้ลงทุน ต้องเปิดเผย ซื่อสัตย์ และมีธรรมาภิบาล 4. ซัพพลายเออร์ เน้นสร้างความสัมพันธ์เพื่อเรียนรู้และขับเคลื่อนไปสู่คุณภาพ ไม่ใช่การซื้อขายกันบนฐานของราคา 5. คู่แข่งขัน ใช้คุณภาพและนวัตกรรมวัดความสำเร็จมากกว่าการแข่งขันราคา 6. ชุมชน ธุรกิจจะต้องจ่ายกลับคืนสู่ชุมชน
สำหรับประเทศไทย แนวคิดด้าน Moral Capital อาจจะเป็นเรื่องใหม่ แต่แท้จริงแล้ว ทุกฝ่ายก็คุ้นเคยกับแนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งเป็นหลักคิดที่ยืนอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม และสามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกเรื่อง
ประเด็นดังกล่าวจึงกระตุ้นให้องค์กรระดับโลกเลือกไทยเป็นเวทีสานเสวนาด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่มีจริยธรรมทางสังคมเป็นเครื่องมือ
โดย 3 หน่วยงานหลักที่เป็นเจ้าภาพของงานประกอบด้วย Caux Round Table หอการค้าไทย และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ร่วมกันจัดงาน “The 2013 Bangkok Conference : Global Dialogue on Sustainable Development ขึ้น ในวันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2556 เวลา 8.00-17.00 น. ณ ห้องคอนเวนชั่น โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์
ดร.ปรียานุช ธรรมปิยา ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านเศรษฐกิจพอเพียง และคณะกรรมการจัดการประชุมระดับโลกด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ขยายความว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยสนใจเกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนน้อยมาก ทั้งที่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานมานั้น เป็นหลักคิดในการดำเนินชีวิตมานานแล้ว และหลักเศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นหลักที่อยู่บนคุณธรรม สามารถใช้ได้กับทุกเรื่อง รวมถึงการทำธุรกิจที่ดี ก็ต้องมีฐานของคุณธรรมด้วยเช่นเดียวกัน
“ส่วนประกอบที่สำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน คือ ค่านิยม (values) จิตสำนึก (mindset) และจริยธรรม (moral & ethics) สิ่งเหล่านี้จะทำให้คนเปลี่ยนแปลงแนวคิด พฤติกรรม
เราจะต้องทำให้ทุกภาคส่วนคำนึงถึงผลที่ตนเองกระทำเสมอ ทั้งต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หมายถึงว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ต้องคำนึงถึงคนรุ่นลูกหลานเสมอ”
ดร.ปรียานุช ย้ำว่า การกระตุ้น ตอกย้ำ และชี้ชวนให้ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาคธุรกิจ ให้ความสำคัญด้านนี้จะทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติ
“ภาคธุรกิจในปัจจุบันต้องคิดเสมอว่า หากมุ่งแต่กำไรมากเกินไป แต่ละเลยผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม หากส่วนอื่นไปไม่ได้ สุดท้ายธุรกิจก็อยู่ไม่รอดเช่นเดียวกัน”
สำหรับในงานดังกล่าวจะมีวิทยากรระดับโลกมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์มากมาย อาทิเช่น Michael J. Sandel จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะนักวิชาการที่กระตุ้นให้ผู้คนได้คิด ได้ตระหนักว่า อะไรคือความเป็นธรรม และค่านิยมที่ดีที่จะสามารถรักษาโลกใบนี้ไว้ได้ คืออะไร หลักคิดดังกล่าว จะเป็นเครื่องมือในการปลูกฝังค่านิยม และจริยธรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดย Sandel จะพูดในหัวข้อ Values and Ethics - Finding Justice for Social Development
Gayle C. Avery นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะผู้นำและการสร้างสรรค์องค์กรธุรกิจอย่างยั่งยืน และเป็นผู้เสนอหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านทฤษฎี “ผึ้ง และตั๊กแตน” โดยศึกษาเปรียบเทียบระหว่างการทำธุรกิจที่ก่อประโยชน์ต่อสังคมว่าเปรียบเสมือนผึ้ง ส่วนการทำธุรกิจที่สร้างผลกระทบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม เปรียบเหมือนตั๊กแตน Avery จะพูดในหัวข้อ Developing Sustainable Futures for Business, People and the Planet
นอกจากนี้ยังมี ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ซึ่งจะนำเสนอเกี่ยวกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง ที่นำไปใช้ในการพัฒนาชุมชนของไทย
รวมไปถึงนพ. ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐสิน และ Mark O. Berelowit ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาเด็ก Deepa Narayan อดีตที่ปรึกษาธนาคารโลก Paul Cheung ผู้อำนวยการ United Nations Statistics Division (UNSD) ซึ่งแต่ละคนจะมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถนำแนวคิดและบทเรียนไปประยุกต์ใช้ได้อย่างยั่งยืน
พร้อมกันนี้จะจัดเวทีย่อยเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อาทิเช่น แนวนโยบาย หรือกฎกติกา เกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลเพื่อให้แต่ละองค์กรทราบว่า ตนเองมีระดับการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างไร ความท้าทายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ค่านิยมที่จำเป็นในการขับเคลื่อนด้านนี้ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาชุมชนต่างๆ ทั่วโลก
อิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย หนึ่งในผู้ร่วมจัดงาน กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจที่ไม่ได้คำนึงถึงชุมชนจะอยู่ไม่ได้แน่นอน เพราะขณะนี้เริ่มเห็นแล้วว่า ผู้บริโภคจะเลือกซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการที่เป็น “คนดี” ซึ่งหมายถึงใส่ใจชุมชนและประเทศ
ที่ผ่านมา หอการค้าไทยได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมคุณธรรมของผู้ประกอบการ โดยมีโครงการส่งเสริมให้บริษัทต่างๆ ดูแลชุมชนอย่างน้อย 1 ชุมชนในการพัฒนาอาชีพและรายได้ พร้อมกับการประสานงานกับร้านค้าสะดวกซื้ออย่างเซเว่น-อีเลฟเว่น เพื่อเป็นแหล่งกระจายสินค้าของชุมชน
“ธุรกิจจะมุ่งผลกำไรอย่างเดียวไม่ได้ ต้องคำนึงถึงสิ่งรอบข้าง เพราะสังคมตระหนักถึงผลกระทบของความไม่ถูกต้องในการทำธุรกิจมากขึ้น ดังนั้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนจะมีความสำคัญต่อการอยู่รอดของธุรกิจ และจะมีความสำคัญยิ่งขึ้นในอนาคต”
ขณะที่ในส่วนของทีดีอาร์ไอ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันฯ กล่าวว่า การพัฒนาอย่างยั่งยืนเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่ถูกทำให้เป็นกระแสหลัก ดังนั้นการมีเวทีประชุมระดับโลก เพื่อพูดคุยในเรื่องนี้อย่างจริงจังจะช่วยสร้างการตื่นตัว ทำให้สังคมเห็นว่า การพัฒนาอย่างยั่งยืนก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
ที่สำคัญจะทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นว่า แนวทางนี้ไม่ได้ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งประเด็นนี้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่ถูกทำให้เป็นกระแสหลัก
“สิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ ต้องไปด้วยกันจึงจะเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมทั้งปัญหาคอร์รัปชันก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ต้องแก้ปัญหาแบบบูรณาการ”
------------------------------
บันได 3 ขั้นสู่ Moral Capital
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ที่ Child and Adolescent Community Mental Health Service in Colchester และผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาจริยธรรม ขยายความ “Moral Capital” แบบไทยๆ ว่า ไม่ได้เชื่อมโยงกับศาสนาโดยตรง แต่เป็นการมองพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งมีต้นทุนทางคุณธรรมและจริยธรรมอยู่แล้ว เพียงแต่มีระดับขั้นของการพัฒนาด้านจิตใจ
เขาบอกว่า ข้อมูลของนักจิตวิทยาทั่วโลกระบุว่า มนุษย์จะปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไรผ่านเลนส์ของตนเอง เรียกว่า “หลักกู” หมายถึงตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง และสุดท้ายก็ทำเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง
เมื่อเติบโตขึ้น ก็ยกระดับจาก “หลักกู” เป็น “หลักเกณฑ์” นั่นคือ จะทำตามกฎเกณฑ์หรือกฎระเบียบสังคมมากขึ้น และก้าวไปสู่ชีวิตที่มี “หลักการ” ในที่สุด
แล้ว 3 หลักนี้ คือ “หลักกู” “หลักเกณฑ์” และ “หลักการ” เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างไร?
คุณหมออธิบายว่า หากธุรกิจดำเนินการบน “หลักกู” คนอื่นคิดอย่างไรก็ไม่ให้ความสนใจ ธุรกิจนี้ย่อมไปไม่รอด เพราะคนอื่นมีมุมมอง และมีหลักเกณฑ์ที่ดีกว่า
ดังนั้นองค์กรที่ดีต้องจัด “หลักเกณฑ์” ที่ดี มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ให้รางวัลและลงโทษ และหากต้องการจะให้มีความยั่งยืนไปกว่านั้น ต้องก้าวไปอีกขั้น นั่นคือ “หลักการ”
“หลักกู” คือ กูยั่งยืน “หลักเกณฑ์” คือ บริษัทยั่งยืน ส่วน “หลักการ” คือ สังคมยั่งยืน เป็นบทสรุปที่ง่าย แต่กลับมีความยากในการปฏิบัติ
ทั้งนี้เพราะข้อมูลจากทั่วโลก พบว่า 70% ของประชากรโลก ดำเนินชีวิตบน “หลักกู” และ “หลักเกณฑ์ระดับต้นๆ” หมายถึงการใช้ชีวิตโดยคิดแต่ตนเองหรือแก๊งของตัวเองเป็นหลัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด แต่เป็นพัฒนาการ แต่ถ้าหากติดอยู่ตรงนั้น จะทำลายตัวเอง อยู่ไม่ได้ และไม่ยั่งยืน
ขณะที่สัดส่วนอีก 20-25% ของประชากรใช้ชีวิตบน “หลักเกณฑ์” ของสังคมที่ถูกต้อง ไม่คดโกงทั้งต่อหน้าและลับหลัง ส่วนประชากร 5 % หรือน้อยกว่านั้น ดำเนินชีวิตเพื่อโลก หรือยึดหลักการเป็นที่ตั้ง
“สถานการณ์นี้น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในไทย จึงเป็นที่มาให้ทุกคนต้องมาทำงานด้วยกัน เพื่อให้มนุษย์มีพัฒนาการที่ก้าวขึ้นไปทีละขั้น เพราะการทำให้คนก้าวกระโดด จากระดับ “หลักกู” โดยสอนคุณธรรมให้เป็นคนดีและเสียสละ มันข้ามขั้นเกินไป เหมือนเด็กคลาน แล้วให้วิ่งเลย ทำไม่ได้แน่นอน”
วิธีการจะทำให้เป็นรูปธรรม นพ.ธีระเกียรติ ฝากไปถึงผู้บริหารสูงสุดขององค์กร หรือซีอีโอให้หลุดจากความเป็นตัวเอง และดำเนินชีวิตบนระดับหลักเกณฑ์ และหลักการ เป็นซีอีโอที่มีคุณธรรมและเมตตา
หากเป็นซีอีโอที่นำ “หลักกู” มาใช้อย่างเดียว ถือว่าคนๆ นั้นใช้อำนาจมาเอาเปรียบสังคม
“คนที่ปฏิบัติบนหลักการ จะเรียนรู้ว่าคนอื่นคิดเห็นอย่างไร สิ่งที่ทำมีผลยังไง และยืนยันได้เลยว่า ทุกครั้งที่ก้าวไปอีกระดับหนึ่ง จะหลุดจากระดับล่างไปสู่ระดับที่สูงกว่าทันที”
คุณหมอทิ้งท้ายว่า หลายคนพูดดี ฟังดูเหมือนคนๆ นั้นอยู่ในระดับ “หลักเกณฑ์” ไม่ใช่ “หลักกู” แต่อาจจะเป็นแค่การยืมภาษามาใช้
ดังนั้นจึงไม่ควรฟังแต่สิ่งที่เขาพูด ต้องดูพฤติกรรมประกอบด้วย อาทิเช่น นักการเมืองมักพูดตาม “หลักเกณฑ์” ว่า “ทำเพื่อประชาชน” แต่ดำเนินชีวิตตาม “หลักกู “ อย่างที่เห็นๆ
เรียกว่าเป็นการยืมภาษามาใช้ ประมาณนั้น







