AI Trends 2026: เมื่อ ‘เอเจนต์’ และ ‘หุ่นยนต์’ ไม่ใช่ผู้มาแย่งงาน แต่คือเพื่อนร่วมทีมที่ดีที่สุด

AI Trends 2026: เมื่อ ‘เอเจนต์’ และ ‘หุ่นยนต์’ ไม่ใช่ผู้มาแย่งงาน แต่คือเพื่อนร่วมทีมที่ดีที่สุด

ความเชื่อที่คิดว่า AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์โดยสิ้นเชิงนั้นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและเป็นอันตรายต่อกลยุทธ์องค์กร การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่ใช่การแทนที่ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของงานที่มนุษย์ไม่ได้ทำงานอย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป แต่มี AI เป็นเพื่อนร่วมทีมเคียงข้างกันไป

KEY

POINTS

  • แนวโน้มในอนาคตคือ AI (เอเจนต์และหุ่นยนต์) จะไม่ได้เข้ามาแย่งงานมนุษย์ แต่จะกลายเป็นเพื่อนร่วมทีมที่ทำงานร่วมกัน
  • รายงานจาก McKinsey ระบุว่า AI มีศักยภาพทำงานแทนมนุษย์ได้ประมาณ 57% ของชั่วโมงการทำงาน แต่มนุษย์ยังคงมีบทบาทสำคัญในอีก 43% ที่เหลือ โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ทักษะทางสังคมและอารมณ์
  • การทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์ เอเจนต์ และหุ่นยนต์ จะก่อให้เกิดรูปแบบอาชีพใหม่ 7 รูปแบบ ซึ่งมีระดับการพึ่งพาเทคโนโลยีที่แตกต่างกันไป
  • ทักษะของมนุษย์ยังคงมีความสำคัญ แต่ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการใช้เพื่อทำงานร่วมกับ AI อย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด

เมื่อเดือนที่ผ่านมาทางสถาบันวิจัย McKinsey ได้เผยแพร่รายงานเรื่อง “Agents, robots, and us: Skill partnerships in the age of AI” โดยเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลของตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากข้อมูลของ สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ เพื่อแยกย่อยอาชีพประมาณ 800 อาชีพ ออกเป็นกิจกรรมการทำงานย่อยประมาณ 2,000 กิจกรรม

ทั้งนี้ เพื่อประเมินความสามารถของเทคโนโลยีในปัจจุบันที่จะเข้ามาทำงานแทนคนในแต่ละกิจกรรม และใช้ข้อมูลจากแพลตฟอร์มการหางานเพื่อวิเคราะห์ประกาศรับสมัครงานกว่า 11 ล้านรายการในตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในการระบุทักษะประมาณ 6,800 ทักษะที่ปรากฏบ่อยครั้งในประกาศงาน เพื่อดูแนวโน้มความต้องการทักษะที่เปลี่ยนไปตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี

ถึงแม้รายงานนี้จะอ้างอิงจากตลาดแรงงานในสหรัฐฯ แต่เป็นไปได้ว่าตำแหน่งและกระบวนการทำงานในภาคธุรกิจต่างๆ ทั่วโลกมีความคล้ายคลึงกัน ข้อมูลนี้จึงเป็นประโยชน์กับตลาดแรงงานในบ้านเราสำหรับการมองแนวโน้มการทำงานในอนาคต

รายงานได้ระบุว่า ความเชื่อที่คิดว่า AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์โดยสิ้นเชิงนั้นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและเป็นอันตรายต่อกลยุทธ์องค์กร การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่ใช่การแทนที่ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของงานที่มนุษย์ไม่ได้ทำงานอย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป แต่มี AI เป็นเพื่อนร่วมทีมเคียงข้างกันไป

หัวใจสำคัญของทีมงานในอนาคตคือการทำงานร่วมกันของสามองค์ประกอบหลัก ได้แก่ มนุษย์ เอเจนต์ (ระบบ AI ซอฟต์แวร์ที่ทำงานที่ไม่ใช่เชิงกายภาพ) และหุ่นยนต์ (เครื่องจักรที่ทำงานเชิงกายภาพ) การเปลี่ยนแปลงนี้มีศักยภาพในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของงานอย่างมาก และเป็นรากฐานของการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล

รายงานนี้วิเคราะห์ว่าเทคโนโลยี AI มีศักยภาพการทำงานแทนชั่วโมงการทำงานของมนุษย์ได้ถึงประมาณ 57% ซึ่งตัวเลขนี้สะท้อนถึงศักยภาพทางเทคนิค เป็นการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของงาน ไม่ใช่การเลิกจ้างงานจำนวนมาก โดยจะมีการแบ่ง ดังนี้

AI เอเจนต์: มีศักยภาพในการทำงานคิดเป็น 44% ของชั่วโมงการทำงานทั้งหมด ครอบคลุมงานที่ไม่ใช่เชิงกายภาพ เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้เหตุผลและการประมวลผลข้อมูล

หุ่นยนต์: มีศักยภาพในการทำงานที่คิดเป็น 13% ของชั่วโมงการทำงานทั้งหมด โดยเน้นงานที่ต้องใช้ความสามารถทางกายภาพ แต่การนำหุ่นยนต์มาใช้ยังจำกัดอยู่ในบางงาน เนื่องจากงานจำนวนมากยังต้องการทักษะการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อน ความคล่องแคล่ว และการรับรู้สถานการณ์ที่เทคโนโลยียังไม่สามารถทำซ้ำได้อย่างน่าเชื่อถือ

มนุษย์: ยังคงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในชั่วโมงการทำงานที่เหลืออีก 43% โดยเฉพาะงานที่ต้องอาศัยทักษะทางสังคมและอารมณ์ขั้นสูง ซึ่งระบบอัตโนมัติในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้

ดังนั้น ชั่วโมงการทำงานอีก 43% ที่ยังคงเป็นของมนุษย์จึงไม่ได้เป็นเพียงส่วนที่เหลืออยู่ แต่เป็นพื้นที่แห่งการสร้างมูลค่าที่สำคัญที่สุด ซึ่งขับเคลื่อนด้วยทักษะที่ยั่งยืนและไม่สามารถทดแทนได้ด้วยเทคโนโลยี และนั่นคือจุดที่ผู้นำองค์กรต้องให้ความสำคัญในการลงทุนและพัฒนา

ในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น การประเมินและพัฒนาทักษะของบุคลากรจึงกลายเป็นวาระสำคัญเชิงกลยุทธ์ ผู้นำองค์กรต้องเข้าใจว่า AI ไม่ได้ทำให้ทักษะส่วนใหญ่ของมนุษย์ลดความสำคัญลง แต่กลับเปลี่ยนวิธีการนำทักษะเหล่านั้นไปใช้ และสร้างความต้องการสำหรับความสามารถใหม่ๆ ที่จะทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อองค์ประกอบของทีมงานเปลี่ยนไป รูปแบบของอาชีพในโลกยุคใหม่จึงถูกแบ่งใหม่เป็น 7 รูปแบบ ที่สะท้อนระดับการร่วมมือกันระหว่างมนุษย์ เอเจนต์ และหุ่นยนต์

โดยกลุ่มแรก คือ กลุ่มที่เน้นมนุษย์เป็นหลัก (People-centric) ซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุดในตลาดแรงงานถึง 34% ตัวอย่างเช่น บุคลากรทางการแพทย์ หรืองานบริการฉุกเฉิน ที่ยังคงต้องพึ่งพาทักษะทางอารมณ์และการตัดสินใจหน้างานที่ละเอียดอ่อน ทั้งนี้อาจมีการนำ AI มาช่วยเสริมประสิทธิภาพในบางส่วน เช่น งานเอกสาร

ถัดมา คือ กลุ่มที่มนุษย์ทำงานร่วมกับเอเจนต์ (People-agent) ซึ่งครอบคลุม 21% ของแรงงาน เช่น ครู พนักงานขาย หรืองานด้านทรัพยากรบุคคล ในกลุ่มนี้มนุษย์จะใช้เอเจนต์เป็นผู้ช่วยในงานด้านข้อมูลและเอกสาร เพื่อให้ตนเองมีเวลาไปทำงานที่ต้องใช้ทักษะทางความคิดและการสื่อสารระหว่างบุคคลมากขึ้น

สำหรับกลุ่มงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลคือ กลุ่มอาชีพที่เน้นเอเจนต์เป็นหลัก (Agent-centric) ก็มีบทบาทสูงถึง 30% ของแรงงาน อาชีพเช่น นักบัญชี นักพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือทนายความ จะใช้เอเจนต์ประมวลผลข้อมูลซับซ้อน โดยมนุษย์เปลี่ยนบทบาทจากการลงมือทำเอง ไปสู่การเป็นผู้กำกับดูแลและตรวจสอบความถูกต้อง

สำหรับกลุ่มงานทางด้านกายภาพเป็นหลัก จะแบ่งออกเป็นกลุ่มที่มนุษย์ทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ (People-robot) เป็นกลุ่มงานอาชีพที่มนุษย์ยังคงเป็นผู้ปฏิบัติงานหลัก แต่มีหุ่นยนต์เข้ามาช่วยเสริมขีดความสามารถ โดยเฉพาะในด้านพละกำลังและความแม่นยำ กลุ่มอาชีพนี้จะมีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของแรงงานทั้งหมด ตัวอย่างเช่นช่างติดตั้งฉนวน

อีกกลุ่มอาชีพหนึ่งคือ กลุ่มที่เน้นหุ่นยนต์เป็นหลัก (Robot-centric) เป็นกลุ่มอาชีพที่มีศักยภาพทางเทคนิคสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะในส่วนงานที่ต้องใช้แรงกาย และอาจมีความเสี่ยงอันตราย ซึ่งอาชีพกลุ่มนี้มีประมาณ 8% เช่น งานในคลังสินค้า ช่างเชื่อม พนักงานควบคุมเครื่องจักร ซึ่งมนุษย์จะทำหน้าที่เพียงควบคุมและบำรุงรักษา

นอกจากนี้ ยังมี กลุ่มอาชีพรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้นอย่างทีมที่ผสมผสานทั้งสามส่วน (People-agent-robot) คิดเป็น 5% ของแรงงานทั้งหมด เช่น พนักงานต้อนรับหรือผู้ช่วยแพทย์ ที่ต้องประสานทั้งข้อมูลจากเอเจนต์ แรงงานจากหุ่นยนต์ และการตัดสินใจของมนุษย์เข้าด้วยกัน

และสุดท้ายคือ กลุ่มเอเจนต์ทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ (Agent-robot) ในระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบที่มีสัดส่วน 2% ของแรงงานทั้งหมด เช่น งานในโรงงานอัจฉริยะ ซึ่งมนุษย์จะมีบทบาทในการตั้งค่าและดูแลระบบภาพรวม

ความหลากหลายของรูปแบบการทำงานนี้ชี้ให้เห็นว่า ไม่มีอาชีพใดที่จะไม่ถูกกระทบ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีอาชีพใดที่มนุษย์จะไร้ความหมาย สิ่งที่น่าสนใจจากรายงานนี้คือ ทักษะกว่า 70% ที่เราใช้ในปัจจุบัน เป็นทักษะที่สามารถนำไปปรับใช้ในยุคของ AI ได้

ดังนั้นการเตรียมตัวสู่อนาคตจึงไม่ใช่การทิ้งความรู้เดิมแล้วเริ่มใหม่ทั้งหมด แต่คือการปรับมุมมองในการใช้ทักษะเดิมที่มีอยู่ ผสานเข้ากับความสามารถของ AI เข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น ทักษะการสื่อสารจะยังคงจำเป็น แต่เปลี่ยนจากการสื่อสารข้อมูลดิบ เป็นการแปลความหมายสิ่งที่ AI สรุปมาให้ผู้อื่นเข้าใจ หรือทักษะความเป็นผู้นำและการบริหารจัดการ ที่จะเปลี่ยนจากการสั่งงานคน เป็นการวางแผนและสร้างแรงบันดาลใจ โดยปล่อยให้ AI ช่วยติดตามงานและจัดการตารางเวลา

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวคนทำงานเพียงอย่างเดียว แต่เป็นภารกิจเร่งด่วนของผู้บริหารและองค์กรที่ต้องออกแบบกระบวนการทำงานใหม่ ทั้งนี้องค์กรที่ประสบความสำเร็จจะไม่ใช่แค่การนำ AI มาใช้ทำงานย่อยๆ แทนคน แต่คือองค์กรที่กล้ารื้อระบบเดิมแล้วสร้างกระบวนทัศน์ใหม่

ท้ายที่สุดแล้ว อนาคตของการทำงานไม่ใช่เรื่องของการแข่งขันกันระหว่างมนุษย์กับ AI แต่เป็นเรื่องของรูปแบบการทำงานแบบใหม่ที่เราไม่เคยมีมาก่อน เอเจนต์และหุ่นยนต์จะเข้ามาปลดล็อกมนุษย์ออกจากงานจำเจ ทำให้เรามีเวลาในการใช้ศักยภาพทางความคิด การสร้างสรรค์ และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ซึ่งเป็นแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มที่ และคนที่พร้อมจะทำงานร่วมกับ AI เท่านั้น คือผู้ที่จะเป็นเจ้าของอนาคตอย่างแท้จริง