ชี้ตลาดเงินป่วนศก.ครึ่งปีหลัง

ธปท.เตือนเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ตลาดเงินผันผวน จากปัจจัยเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้น "ประสาร"เปรียบเศรษฐกิจไทยเหมือนเครื่องบิน
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง ยังต้องระมัดระวังความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดการเงินโลก เพราะปัจจัยที่เป็นตัวสร้างความผันผวนยังมีอยู่ โดยเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรป แม้จะฟื้นตัวขึ้นบ้าง แต่ภาพการฟื้นตัวยังไม่ชัดเจน ทำให้ตลาดการเงินต้องคอยรับฟังข่าวสารที่เข้ามากระทบ
"เศรษฐกิจใหญ่ๆ อย่างสหรัฐอเมริกา และยุโรป มาตรการต่างๆ ทำให้เขาฟื้นตัวยังไม่เบ็ดเสร็จ ภาพที่เห็นจึงยังไม่ชัด ทำให้ตลาดเงินต้องคอยรับฟังข่าวสารที่เข้ามา เหมือนคนเวลานั่งรถ ถ้าเห็นเป้าหมายชัดเจน ถึงแม้รถที่แล่นอยู่จะโคลงเคลงก็ไม่เมา แต่ตลาดเงินตอนนี้เหมือนจะเมาง่าย เพราะมองเห็นแสงสว่างไม่ชัดนัก จึงต้องระวัง โดยตลาดเงินโลกตอนนี้ยังเต็มไปด้วยความผันผวน สภาพคล่องยังมีอยู่มาก" นายประสารกล่าวในการแถลงแนวโน้มเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง 2556
นายประสารเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยเป็นเหมือนเครื่องบิน โดยไม่ได้เปรียบกับเครื่องยนต์ 4 เครื่องเหมือนที่มีคนเคยเปรียบเทียบ แต่ได้เปรียบเทียบถึงความผันผวนที่เกิดขึ้น
นายประสารกล่าวว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีปัจจัยทั้งที่เป็น Head Wind (ลมปะทะหน้า) และ Tail Wind (ลมหนุนท้าย) โดยในส่วนของลมปะทะหน้า เช่น ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้คนที่ค้าขายกับต่างประเทศ ทั้งผู้นำเข้าและส่งออกมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการดำเนินการ เพราะความผันผวนเหล่านี้เปรียบเหมือนลมที่เข้าปะทะทางด้านหน้า
ส่วนลมหมุนท้ายนั้น ถ้าดูการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและญี่ปุ่น ที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ก็น่าจะเป็นตัวช่วยหนุนภาคอุตสาหกรรมหลายๆ ด้านของประเทศไทยได้
แต่อีกตัวที่สำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป คือ สมรรถนะของตัวเครื่องบิน ซึ่งก็คือศักยภาพพื้นฐานของประเทศไทยเอง โดยเวลานี้ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการลงทุนเพื่อเพิ่มด้านอุปทาน ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน
"ตัวเลขประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยด้วยว่า อัตราการเติบโตที่ธปท.ประเมินไว้ที่ 4.2% นั้น ถือเป็นระดับที่ไม่ได้ต่ำมากเกินไปเมื่อเทียบกับประเทศอื่นทั้งในภูมิภาคและในโลก และการดูตัวเลขพวกนี้ควรต้องดูในรายละเอียดด้วยว่า การจ้างงานและรายได้ของประชากรในประเทศเป็นอย่างไร อยู่ในระดับที่มีปัญหาหรือไม่"
เมื่อวันศุกร์ที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา ธปท.ปรับประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้ โดยคาดว่าจะขยายตัว 4.2% จากประมาณการเดิม 5.0% ส่วนในปี 2557 ไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับ 5.0%
แต่ประเด็นที่กังวลในเรื่องเศรษฐกิจจีนชะลอตัวนั้น นายประสารกล่าวว่าธปท.ไม่ได้เป็นห่วงมากนัก เพราะความจริงแล้วน่าจะเป็นสัญญาณที่ดี โดยจีนพยายามปฏิรูประบบการเงินให้เป็นไปตามกลไกตลาดมากขึ้น และการที่จีนพยายามควบคุมในเรื่องการปล่อยสินเชื่อนั้น เพื่อต้องการให้ธนาคารพาณิชย์สามารถดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของตลาดมากขึ้น โดยทางการจีนหวังว่า ในอนาคตธนาคารพาณิชย์เหล่านี้ จะเข้ามาทดแทนสถาบันการเงินเงาได้มากขึ้น
ไม่ห่วงค่าบาท-เคลื่อนไหวในกรอบ
นายประสารกล่าวถึงการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ที่ปรับแข็งค่าขึ้น ว่าเงินบาทเริ่มแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่เป็นการแข็งค่าในทิศทางเดียวกับภูมิภาค ซึ่งเป็นผลจากข่าวตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ หลังผลสำรวจภาคอสังหาริมทรัพย์ค่อนไปทางที่ไม่ดีนัก ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่กล้าลดการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ในเดือนก.ย.นี้ ทำให้เงินทุนที่เคยไหลออกไปช่วงก่อนหน้า ไหลกลับเข้ามาบ้าง ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาบ้าง
"การแข็งค่าของเงินบาท ไม่ได้น่าห่วงมากนัก เพราะอยู่ในกรอบการเคลื่อนไหวที่ไม่ได้หวือหวามากเกินไป และยังเป็นประเด็นที่ ธปท. ต้องติดตามดูอยู่ ในภาวะที่เศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยควรต้องมีกันชนเผื่อเอาไว้บ้าง ถ้าความผันผวนมันยืดเยื้อ การดำเนินนโยบายการเงินก็ต้องรักษาสมดุลไม่ให้สุดขั้วไปด้านใดด้านหนึ่ง" นายประสารกล่าว
วานนี้ (23 ก.ค.) ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ ในช่วงท้ายตลาดอยู่ที่ 30.85 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. ขณะที่ตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นมากกว่า 2% จากแรงซื้อหลังช่วงวันหยุด
นักบริหารเงินจากธนาคารพาณิชย์กล่าวว่านักลงทุนยังลังเลซื้อเงินบาทที่เหนือระดับ 30.80 โดยคาดว่ามีแรงซื้อดอลลาร์จากกลุ่มผู้นำเข้า และกังวลธปท.จะเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อสกัดความผันผวนในตลาด
เตือนประกันความเสี่ยงรับผันผวน
นายประสารกล่าวว่าในทางกลับกัน หากเฟดจะลดคิวอีลง ถามว่าธปท. เตรียมการตั้งรับยังไง ซึ่งเรื่องนี้ธปท.มีประสบการณ์มาบ้างแล้ว เพราะถ้าเขาลดคิวอีลงจริงก็อาจทำให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น ดอกเบี้ยในตลาดเงินก็อาจกระตุ้นขึ้นได้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำ คือ การรักษาสมดุล และต้องคอยตรวจสอบธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ เพื่อป้องกันไม่ให้เขามีการกู้ยืมเงินดอลลาร์ที่ปราศจากการป้องกันความเสี่ยงมากเกินไป
"ประสบการณ์สอนเราว่า ต้องพยายามไม่ให้แบงก์พาณิชย์ หรือลูกค้าของทางแบงก์พาณิชย์ มี Open Position ที่มากเกินไป เพราะกรณีที่มีปัญหาอย่างปี 2540 คือ ลูกค้าแบงก์มี Open Position มาก พอเกิดเหตุจึงขาดสมดุล ดังนั้นเราก็ต้องคอยเตือน พยายามทำให้เขารู้ว่า อัตราแลกเปลี่ยนมันสามารถเคลื่อนไหวได้ในทั้ง 2 ทิศทาง จึงต้องระวัง" นายประสารกล่าว
ชี้ไม่แน่นอนสูงมีโอกาสต่ำกว่า4.2%
ขณะที่นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังยังมีความไม่แน่นอนสูง และมีโอกาสต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 4.2% ได้เช่นกัน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงว่าจะฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ขณะที่ความต้องการการใช้จ่าย และการบริโภคช่วงครึ่งปีหลังก็อาจชะลอตัวกว่าที่คาดไว้ ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นการลงทุน แต่ปัจจัยดังกล่าวมีผลแค่ชั่วคราวเท่านั้น
"จีดีพีที่เราประเมินไว้ที่ 4.2% มันคือค่ากลาง แต่ในช่วงครึ่งหลังยังมีปัจจัยเสี่ยงเราจึงมองว่ามันมีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะต่ำกว่าค่ากลางที่เราประเมินไว้ หรือหากมีแรงกระตุ้นให้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจมันผลักดันได้ก็มีโอกาสที่จะเห็นการเติบโตที่มากกว่า" นายไพบูลย์กล่าว
คาดส่งออกเริ่มฟื้นตัว
ด้านนายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธปท. กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาคือ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทั้งสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น รวมถึงจีน ขณะที่การบริโภคและการลงทุนในประเทศยอมรับว่าเริ่มชะลอตัวลง เนื่องจากมีการลงทุนในช่วงก่อนหน้า โดยเฉพาะด้านเครื่องจักร และฟื้นฟูโรงงานหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 2554
สำหรับการส่งออกเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากไทยเริ่มพึ่งพาการส่งออกในอาเซียนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันไทยส่งออกไปอาเซียนสัดส่วนถึง 20% ขณะที่จีน 12% และส่งออกไปยุโรปปรับลดลงเหลือ 10% สหรัฐอเมริกา 10%
นักเศรษฐศาสตร์จี้ลงทุนภาครัฐ
นายสกนธ์ วรัญญูวัฒนา อาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ หากโตได้ถึง 4% ก็ถือว่าเต็มที่แล้ว เพราะถ้าดูตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การลงทุน และการส่งออก ล้วนแต่ส่งสัญญาณชะลอตัว ดังนั้นหากต้องการให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้มากกว่านี้ ภาครัฐจำเป็นต้องมีการลงทุนเพิ่ม
"ถ้าดูตัวเลขเศรษฐกิจเดือนพ.ค. จะเห็นว่า ปัจจัยชี้นำต่างๆ ทั้งดัชนีการบริโภคภาคเอกชน ดัชนีการลงทุน รวมไปถึงดัชนีการผลิตในภาคต่างๆ ทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม และ บริการ ถือว่าติดลบทุกตัว ซึ่งพวกนี้จะมีผลต่อดัชนีตามอื่นๆ โดยที่ดัชนีที่เป็นตัวตามนั้นจะใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน ถึงจะสะท้อนตามดัชนีชี้นำ จึงคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย" นายสกนธ์กล่าว
นายสกนต์ กล่าวอีกว่า หากเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่า 4% อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของภาครัฐในด้านการจัดเก็บภาษี เพราะการจัดเก็บภาษีของรัฐมักขึ้นกับการขยายตัวของเศรษฐกิจเป็นหลัก ส่วนการจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตได้มากกว่า 4% นั้น รัฐบาลควรมุ่งกระตุ้นผ่านการส่งออกและการลงทุนเป็นสำคัญ ไม่ควรเน้นกระตุ้นผ่านการบริโภค เพราะหนี้ครัวเรือนในปัจจุบันถือว่าสูงมากแล้ว
"ถ้าอยากให้โตมากกว่า 4% ก็ต้องไปพึ่งการส่งออก ซึ่งอาจต้องใช้วิธีกระตุ้น ส่วนเรื่องการบริโภคนั้น ผมไม่อยากพูดถึง เพราะกลัวว่ารัฐบาลจะไปทำโครงการที่เกี่ยวข้องกับประชานิยมออกมาอีก เป็นเรื่องที่น่าห่วง และทำให้การบริโภคแบบมีคุณภาพของเราถูกละเลยมานาน ซึ่งจริงๆ เราควรบริโภคจากฐานรายได้ จากการมีงานทำ ไม่ใช่การบริโภคที่เกิดจากการอัดฉีดของรัฐบาลแบบนี้" นายสกนธ์กล่าว
กรุงศรีคาดครึ่งปีหลังโต3.5-4.0%
ด้านนายรุ่งศักดิ์ สาธุธรรม ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยโดยเฉลี่ยทั้งปีนี้ น่าจะเติบโตได้ในระดับ 4-4.5% โดยครึ่งปีแรกการเติบโตน่าจะอยู่ที่ 4.7% และครึ่งปีหลังการเติบโตอาจชะลอลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3.5-4% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานปีก่อนที่อยู่ระดับสูง
นอกจากนี้ถ้าดูปัจจัยหนุนต่างๆ จะเห็นว่าเริ่มแผ่วลง โดยเฉพาะแผนการลงทุนของภาครัฐ ในโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งมีแนวโน้มว่าต้องเลื่อนออกไปจากกำหนดเดิมที่คาดไว้ว่าจะเริ่มลงทุนได้ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้ความหวังว่าการลงทุนของภาครัฐที่จะเป็นตัวหนุนการเติบโตเศรษฐกิจในช่วงท้ายของปีนี้ริบหรี่ลง แต่คิดว่าการลงทุนของภาคเอกชนน่าจะมีให้เห็นอยู่บ้าง







