ประชาชนหวัง ‘การเมือง’ เปลี่ยนแปลง ไม่เชื่อมั่นรัฐบาล

จากการที่ฝ่ายค้านยื่นญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลโดยพุ่งเป้าไปที่นายกฯ และ 11 รัฐมนตรี ส่งผลให้การอภิปรายครั้งนี้ถูกจับตามอง เนื่องจากอาจเป็นการอภิปรายครั้งสุดท้ายก่อนที่รัฐบาลจะครบเทอม และเข้าสู่การเลือกตั้งใหญ่ในปีหน้า

การอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 19-22 ก.ค.นี้ พรรคฝ่ายค้านกล่าวหา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีรวม 11 คน สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ทำให้ประสบความตกต่ำอย่างถึงที่สุดในทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ประชาชนสูญเสียโอกาส ที่จะได้คุณภาพชีวิต และหลักประกันการดํารงชีพที่ดี เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เกิดภาวะ ‘รวยกระจุก จนกระจาย’ และ ‘ค่าครองชีพสูง คุณภาพชีวิตต่ำ’ หากปล่อยให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรี ดังกล่าวยังคงบริหารต่อไป ย่อมนํามาซึ่งความเสียหายแก่ประเทศชาติ และประชาชนจนยากที่จะเยียวยาแก้ไขได้

ด้านความคิดเห็นของประชาชนมองว่าเป็นเรื่องดีที่เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้อภิปราย แต่ประชาชนยังรู้สึกไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล หวังว่าหลังจบการอภิปรายครั้งนี้ สถานการณ์การเมืองไทยคงมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น สิ่งที่อยากให้รัฐบาลเร่งแก้ไขมากที่สุดคือ ปัญหาปากท้องประชาชน

ขณะที่ผลสำรวจของสวนดุสิตโพล ระบุว่า ประชาชนส่วนใหญ่อยากให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ฝ่ายค้านจึงควรใช้โอกาสนี้อย่างคุ้มค่าในการซักฟอกรัฐบาลเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชน ส่วนรัฐบาลเองก็ควรชี้แจงผลงานที่ชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และสาเหตุของสินค้าแพงค่าแรงถูกเป็นสิ่งที่ประชาชนคาใจ และอยากจะรู้

ส่วนใหญ่มองว่าถึงเวลาแล้วที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และสนใจติดตามการอภิปรายที่กำลังจะมีขึ้น น่าจะสอดคล้องกับประเด็นปัญหาสำคัญระดับชาติคือ การมองผลงานของรัฐบาลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นอันดับที่ 1 ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่กระทบปากท้องของประชาชนเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้น ทำอะไรรัฐบาลไม่ได้เพราะที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ามีแต่การแก่งแย่งอำนาจ และผลประโยชน์พวกพ้องครอบครัว ไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ชาติ และของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง และยังเชื่อว่ารัฐบาลจะผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นนี้ไปได้

 

ทีมข่าวเนชั่นทีวี รายงาน

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์