จับตาพรุ่งนี้ “พลังงาน” ตรึงต่อราคาดีเซล 32 บาท?

จับตาพรุ่งนี้ “พลังงาน” ตรึงต่อราคาดีเซล 32 บาท?

จับตา 30 พ.ค. 2565 กระทรวงพลังงาน เคาะอุ้มเพื่อตรึงต่อราคาดีเซลลิตรละ 32 บาทต่อหรือปรับขึ้นลิตรละ 1 บาท ท่ามกลางสถานการณ์เงิน “กองทุนน้ำมัน” ติดลบ 80,000 ล้านบาท แนะเร่งสร้างความเข้าใจประชาชนถึงหนี้ที่ใกล้ทะลุ 1 แสนล้าน

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน ระบุว่า วันที่ 30 พ.ค. 2565 ที่ประชุมคณะกรรมการคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะหารือเกี่ยวกับมาตรการพยุงราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกหน้าสถานีบริการน้ำมันในประเทศไทยรายสัปดาห์ว่าจะยังคงราคาไว้ที่ลิตรละไม่เกิน 32 บาทต่ออีกสัปดาห์หรือจะปรับขึ้นที่ระดับลิตรละ 33-34 บาท

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกและน้ำมันดีเซลมีการผันผวนและปรับขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องจนมีช่วงหนึ่งที่สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ต้องอุดหนุนราคาขายปลีกดีเซลหน้าสถานีบริการน้ำมันลิตรละ 14 บาท รวมใช้เงินวันเดียวกว่า 900 ล้านบาท เพื่อพยุงราคาดีเซลลิตรละไม่เกิน 30 บาท

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้พยายามหามาตราการมารองรับเพื่อจะพยุงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้ปรับขึ้นสูงมากตามราคาที่แท้จริงทะลุลิตรละ 41 บาท จนเงินกองทุนน้ำมันติดลบระดับ 60,000 ล้านบาท ในช่วงปลายเดือนเม.ย. 2565 ดังนั้น กบน.จึงได้พิจารณาปรับราคาน้ำมันดีเซลครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2565 เป็นต้นมา โดยปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับลิตรละ 32 บาท และจะทยอยปรับขึ้นลงดูสถานการณ์เป็นรายสัปดาห์ และกำหนดเพดานไว้ไม่เกิน ลิตรละ35 บาท เพื่อลดค่าใช้จ่ายของกองทุนน้ำมัน

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกผันผวนและปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงส่งผลกระทบต่อต้นทุนการนำเข้าน้ำมันดิบ ดังนั้น คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 100% รอบที่ 2 หลังจากรอบแรกลดภาษีดีเซล 3 บาท 2 เดือนลงลิตรละ 5 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. 2565 ถึงวันที่ 20 ก.ค. 2565 จากปัจจุบันมีอัตราที่ลิตรละ 5.99 บาท เพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น

แหล่งข่าว กล่าวว่า รัฐบาลต้องสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนว่าแม้รัฐบาลจะลดภาษีดีเซลลงลิตรละ 5 บาท แต่ราคาขายปลีกจะไม่ลดลงทันที เพราะตอนนี้กองทุนน้ำมันติดหนี้สูงมากโดยสิ้นเดือนนี้จะทะลุ 80,000 ล้านบาทแน่นอน เพราะใช้เงินเดือนละกว่า 20,000 ล้านบาท จึงเป็นไปได้สูงที่สัปดาห์หน้าจะเห็นการขยับขึ้นราคาดีเซลลิตรละ 33 บาท ดังนั้น สิ่งสำคัญจะต้องสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนว่ารัฐบาลได้ใช้เงินเดือนละ 20,000 ล้านบาท มาช่วยเหลือราคาน้ำมันดีเซลตรงนี้

อย่างไรก็ตาม การลดภาษีดีเซลลงครั้งนี้ จะช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันจากเคยต้องจ่ายเดือนละกว่า 20,000 ล้านบาท เหลือระดับ 17,000 ล้านบาท ที่อุดหนุนปัจจุบันลิตรละ 5.37 บาท (วันละ 350 ล้านบาท) ดังนั้น กระทรวงพลังงานจะต้องสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนถึงประเด็นนี้ว่าลดภาษีลงแล้วทำไมราคายังสูง ซึ่งขณะนี้ประเทศเพื่อนบ้านไม่สามารถพยุงราคาได้ และอยู่ในระดับลิตรละ 41-42 บาท ดังนั้น หากปล่อยให้กองทุนน้ำมันติดลบระดับ 100,000 ล้านบาท ถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะถือเป็นหนี้ของประเทศเช่นกัน ซึ่งแนวโน้มทั้งปีราคาจะยังคงมีความผันผวนอยู่ในระดับนี้แน่นอน

แหล่งข่าว กล่าวว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) อยู่ระหว่างหารือในเรื่องของการช่วยเหลือด้านราคาอื่นๆ เช่น การปรับส่วนผสมไบโอดีเซล (B100) ลง 2-3% ซึ่งต้องหารือและทำรายละเอียดร่วมกันทุกฝ่าย แม้ว่าการลดส่วนผสมB100 ลง ในแง่ของจำนวนเงินจะอยู่ที่ราว 50 สตางค์ แม้ดูแล้วจะไม่มาก แต่เมื่อรวมกันก็เป็นเม็ดเงินที่ยังได้ช่วยเหลืออยู่ในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงสูงขึ้น ซึ่งการปรับลดส่วนผสมก็เป็นข้อเสนอปรับลดชั่วคราวเท่านั้นหวังว่าชาวสวนปาล์มน่าจะเข้าใจ

“ส่วนการพิจารณาราคาหน้าโรงกลั่นนั้น จะเป็นเรื่องของขอความร่วมมือมากกว่า เพราะด้วยการเปิดให้เป็นการเสรีแล้วจะไปบังคับไม่ได้ ซึ่งจากที่ได้มีการหารือในเรื่องของต้นทุนที่แท้จริงและกำไรแล้วน่าจะลดลงได้อีก ดังนั้น สิ่งที่จะทำได้ตอนนี้คือลดต้นทุนให้ได้มากที่สุด เพราะประเทศเป็นหนี้สูงมาก แม้กองทุนน้ำมันจะเร่งกู้เงินเพื่อมาเสริมสภาพคล่อง แต่ก็ต้องใช้หนี้ที่มีดอกเบี้ยอยู่ดี ดังนั้น ทุกฝ่ายทั้งชาวสวนปาล์ม โรงกลั่น โรงงานไบโอดีเซล รวมถึงประชาชน จะต้องได้รับความเข้าใจและร่วมมือร่วมกันทั้งการลด หรือการขึ้นราคา” แหล่งข่าว กล่าว

สำหรับประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 22 พ.ค.2565 ติดลบ 76,291 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 41,419 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้มติดลบ 34,872 ล้านบาท โดยมีกระแสเงินสดรวม 13,669 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีเงินฝากธนาคารที่ 2,556 ล้านบาท และบัญชีเงินฝากที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง 14,133 ล้านบาท