ล้ม สว.ลามถึงยุบพรรค เปิดแผนหักด่านชั้น 14

จุดศูนย์ดุลของสงครามการเมืองชุดนี้ คือ “คดีชั้น 14” ฉะนั้น ทักษิณจึงกำลังพลิกเกมให้มาเป็นฝ่ายได้เปรียบ และเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้อย่างเด็ดขาด เพื่อเดินหน้ายึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จต่อไป มิฉะนั้นตายหมู่
KEY
POINTS
- “เกมล้ม สว.” แรงเป็นพิเศษ และไม่ยอมหยุดแม้โดนติดเบรก ศึกครั้งนี้เดิมพันสูงสุดในทางการเมือง
-
โดยฝ่ายเพื่อไทย ทักษิณโดนผูกขา 2 ชั้น คือ คดีชั้น 14 และคดี 112 หนำซ้ำยังผูกขานายกฯ แพทองธาร อีกหลายชั้น
-
ขณะที่ฝ่ายภูมิใจไทย โดนผูกขาด้วย “คดีโพยฮั้ว สว.” และจะถูกลุยต่อถึงล้มกระดาน ล้มวุฒิสภา เลือกกันใหม่ ล่วงเลยไปจนถึง “ยุบพรรค”
การเมืองบ้านเราวันนี้ ไม่ต่างอะไรกับปัญหาไฟใต้ คือ ฝุ่นตลบ ยืดเยื้อ น่าเบื่อหน่าย แถมมีคนต้องตาย ต้องสังเวยระหว่างทาง
สาเหตุของปัญหาเพราะคู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่าย ไม่มีฝ่ายใดเอาชนะกันได้อย่างเด็ดขาด
วันนี้ปัญหาการเมืองก็เลยติดขัด จึงถึงเวลาต้องแตกหักกันจริงๆ เพราะไม่อย่างนั้นก็ “กอดคอกันตาย” (เหมือนไฟใต้ที่ใกล้ตายสนิท)
หากเราปักหมุดความเคลื่อนไหว เริ่มจากว่าทำไม “เกมล้ม สว.” จึงแรงเป็นพิเศษ และไม่ยอมหยุด แม้โดนติดเบรก (ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง 2 รัฐมนตรี คุณทวี กับคุณภูมิธรรม) ก็ต้องย้อนไปดูไทม์ไลน์ในช่วงไม่ถึง 10 วันมานี้
30 เม.ย.68 - ศาลฎีกาฯ ตั้งองค์คณะไต่สวนการบังคับโทษคุณทักษิณ กลายเป็นเซอร์ไพรส์ในแวดวงนักกฎหมาย เพราะศาลยกคำร้อง 3 ครั้ง แต่อ้าง “ความปรากฏต่อศาล” สั่งไต่สวนต่อ
8 พ.ค.68 (กลางวัน) - แพทยสภาลงดาบหมอที่รักษาอาการป่วยคุณทักษิณ และสื่อสารทำนองว่า “ไม่ได้ป่วยวิกฤติ - ไม่ได้ป่วยจริง”
8 พ.ค.68 (กลางคืน) - ออกหมายเรียก สว. 55 คน ทันที และตั้งเป้าออกหมายเรียกถึง 150 คน ที่สำคัญไม่ได้มีเฉพาะ สว.สีน้ำเงิน แต่มีคนการเมืองจากพรรคการเมืองใหญ่รวมอยู่ด้วย เกมนี้ว่ากันว่าจะเล่นกันถึงยุบพรรค
จากไทม์ไลน์ 8 วันที่ไล่เลียงมา สะท้อนว่าศึกครั้งนี้เดิมพันสูงสุดในทางการเมือง
โดยฝ่ายเพื่อไทย (สีแดง) คุณทักษิณในฐานะผู้นำตัวจริง โดนผูกขา 2 ชั้น คือ คดีชั้น 14 และคดี 112 หนำซ้ำยังผูกขานายกฯ แพทองธาร อีกหลายชั้น รวมถึงกรณีคุณสมบัติของรองนายกฯ พีระพันธุ์ ที่อาจลามถึงตัวนายกฯ
ขณะที่ฝ่ายภูมิใจไทย (สีน้ำเงิน) โดนผูกขาด้วย “คดีโพยฮั้ว สว.” ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้คือ ยื้อไม่ไหวแล้ว เพราะสังคมได้เห็นหลักฐานแล้วยอมรับไม่ได้ จากเดิมมีแผนจะเล่นกันแค่เบาๆ แค่ให้ สว.เปลี่ยนสีเสื้อ แต่ตอนนี้จะลุยต่อถึงล้มกระดาน ล้มวุฒิสภา เลือกกันใหม่ ล่วงเลยไปจนถึง “ยุบพรรค” กันทีเดียว
สาเหตุที่เรื่องนี้ไม่หยุดแค่ สว. แต่ลามถึงพรรคการเมือง เพราะมีคนของ “พรรคใหญ่พรรคหนึ่ง” ไปเกี่ยวข้องด้วย แถมเป็นระดับ “รัฐมนตรี” รวมไปถึงสายตรงผู้นำตัวจริง ซึ่งเป็นผู้นำจิตวิญญาณ เปรียบง่ายๆ คือ ปฏิบัติการ “ตีรังผึ้ง เพื่อให้ผึ้งแตกรัง”
จุดศูนย์ดุลของสงครามการเมืองชุดนี้ คือ “คดีชั้น 14” ฉะนั้นคุณทักษิณจึงกำลังพลิกเกมให้มาเป็นฝ่ายได้เปรียบ และเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้อย่างเด็ดขาด เพื่อเดินหน้ายึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จต่อไป มิฉะนั้นตายหมู่ (ทั้งตัวเอง และลูกสาว)
วิธีการคือ ปลดล็อกคดีชั้น 14 ด้วยการ “ตัดชนวน” 3 เรื่องด้วยกัน คือ
1.หาพยานมายืนยันว่า ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาแล้ว พยานปากเอก นอกจากกรมราชทัณฑ์ ก็คือ คุณวิษณุ เครืองาม
2.แก้ต่างเรื่องการบริหารโทษของราชทัณฑ์ที่ส่งตัวออกจากเรือนจำไปรักษาที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยอ้างกฎหมาย และกฎกระทรวงไม่ได้มีเงื่อนไข “ป่วยวิกฤติ” มีแค่ “ป่วยเฉพาะทาง” และโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีอุปกรณ์ และบุคลากรที่เชี่ยวชาญโรคเฉพาะทางเหล่านั้น
3.แก้ต่างเรื่อง “ป่วยทิพย์” ซึ่งเป็นเหตุให้นอนชั้น 14 ยาวจนถึงพักโทษ ไม่กลับไปเรือนจำอีกเลย ด้วยการ “เตะลูกออก” หมายความว่าเบี่ยงหลักฐานสำคัญที่สุด คือ มติแพทยสภาที่ให้ลงโทษแพทย์ 3 คน ไม่ให้เป็นหลักฐานที่ศาลฎีกาฯ ใช้พิจารณาเรื่องบังคับโทษคุณทักษิณ
เริ่มแรกคือ สื่อสารให้สังคมเข้าใจว่า มติแพทยสภา มีสถานะเป็น “คำสั่งทางปกครอง” แต่ยังไม่ถึงที่สุด ต้องรอให้สภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา ที่มี คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน เห็นชอบเสียก่อน ซึ่งประธาน คือ คุณสมศักดิ์ มีสิทธิวีโต้ได้
ถ้า คุณสมศักดิ์ วีโต้ มติแพทยสภาจะถูกตีกลับให้ไปทบทวนใหม่ และหากจะยืนยัน ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 สุดท้ายหากแพทยสภายืนยันกลับมา และสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภาเห็นชอบ เรื่องก็ยังไม่จบอยู่ดี เพราะแพทย์ที่ถูกสั่งลงโทษ สามารถฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ (ล่าสุดเตรียมร่างคำฟ้องรอแล้ว)
จะเห็นได้ว่า กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาค่อนข้างนาน เมื่อมติแพทยสภายังไม่ถึงที่สุด ย่อมสรุปเป็น “ข้อเท็จจริงใหม่” เพื่อเสนอต่อศาลฎีกาฯ ไม่ได้ว่า คุณทักษิณไม่ได้ป่วยจริง หรือ “ป่วยทิพย์” โดยเฉพาะนัดพร้อม วันที่ 13 มิ.ย.68 นี้ ไม่มีทางทันแน่นอน
ฉะนั้นโอกาสที่คุณทักษิณจะรอดจากการไต่สวนเรื่องบังคับโทษจากกรณีชั้น 14 จึงมีสูงมาก และเดือนมิ.ย.ก็คงได้ “เห็นหน้าเห็นหลัง”
เดือนมิ.ย. เป็นเดือนร้อนฉ่าทางการเมือง เพราะคดี “โพยฮั้ว สว.” จะถึงไคลแมกซ์ โดยสัปดาห์หน้าจะทยอยออกหมายเรียกอีก 95 คนที่เหลือ ซึ่งไม่ได้มีแต่ สว. ข่าวว่ามี “คนของพรรคการเมืองใหญ่” รวมอยู่ด้วย
ที่สาหัสก็คือ “ดาบ 2” คดี “ฟอกเงิน-อั้งยี่” ของดีเอสไอ เพราะเมื่อ กกต.ปลดล็อก ยอมแจ้งข้อหาตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ก็เท่ากับเปิดทางให้ดีเอสไอฟาดคดีอาญาต่อได้เลย
เมื่อ “คนของพรรคการเมือง” โดนคดีอาญา ถ้าเป็นรัฐมนตรี ก็จะโดนยื่นถอดถอนจากประเด็น “จริยธรรม” ถ้าเป็นกรรมการบริหารพรรค ก็โดนร้องยุบพรรค
นาทีนี้จึงไม่แปลกที่มีข่าวภูมิใจไทยเตรียมโหวตคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ถูกตีปี๊บออกมา นัยว่าเพื่อเอาคืนหลังโดนปฏิบัติการ “ล้ม สว. จ่อยุบพรรค”
นี่คือ เกม “มีแต่หัก ไม่มีงอ” โดยมีการปรับ ครม. เป็นตัวชี้ขาด!
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







