แผน2‘ขั้วรัฐบาล’เขย่าใหม่ ศึกแดง-น้ำเงิน เดิมพัน ‘ทักษิณ-เนวิน’

แผน2‘ขั้วรัฐบาล’เขย่าใหม่ ศึกแดง-น้ำเงิน เดิมพันชะตา ‘ทักษิณ-เนวิน’ จับตาดีลขั้วฝ่ายค้าน สกัดแผนโหวตคว่ำ พ.ร.บ.งบฯ
KEY
POINTS
- ความขัดแย้งระหว่าง “เพื่อไทย” กับ “ภูมิใจไทย” ส่งผลให้สถานะของพรรคร่วมรัฐบาลสั่นคลอนทันที ฉากรบผ่านสงครามตัวแทนดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง
- หลังการเลือก สว. ขุนพลสีน้ำเงิน พาเหรดเข้ามานั่งสภาสูง บารมีของ "ครูใหญ่" ยิ่งเบ่งบาน เปิดหน้าท้ารบ "นายใหญ่"
- การเร่งเกมคดีฮั้ว สว. ยิ่งร้าวให้สถานการณ์แตกหักมาเร็วขึ้น ล่าสุดมีกระแสข่าว "ภูมิใจไทย" อาจจะโหวตคว่ำร่างพ.ร.บ.งบประมาณ บีบให้ "แพทองธาร" ต้องยุบสภา
- ทว่า "ทักษิณ" ยังไม่พร้อมที่จะเสียอำนาจรัฐ จึงจำเป็นต้องเตรียมแผนสำรองเอาไว้ เพื่อรับมือกับเครือข่ายสีน้ำเงิน
ความขัดแย้งระหว่าง “เพื่อไทย” กับ “ภูมิใจไทย” ส่งผลให้สถานะของพรรคร่วมรัฐบาลสั่นคลอนทันที ฉากรบผ่านสงครามตัวแทนดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง และกำลังเดินเข้าสู่จุดแตกหัก
ช่วงเริ่มจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ และ “เนวิน ชิดชอบ” ผู้นำตัวจริงพรรคภูมิใจไทย ต่างคนต่างอยู่ในอาณาจักรของตัวเอง แต่ภายหลังการเลือก สว. ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก “สายสีน้ำเงิน” บารมีของ “เนวิน” ยิ่งเบ่งบาน
แรงต่อรองของ “ภูมิใจไทย” เพิ่มสูงขึ้นทันที เพราะมี “สว.สีน้ำเงิน” เข้ามาอยู่ในสมการแห่งอำนาจ ปฏิบัติการเขย่า “เพื่อไทย” จึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะบรรดา “บิ๊กเนมสีน้ำเงิน” อ่านใจ “ทักษิณ” ไม่กล้า “ยุบสภา”
อย่างไรก็ตามภายหลัง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ปฏิบัติการสอบสวนขบวนการ “ฮั้ว สว.” โดยส่งข้อมูลการสอบสวนทั้งหมดไปให้กับ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนจะมีหมายเรียกให้ 53 สว. โดยให้เข้าชี้แจงระหว่างวันที่ 19 -21 พ.ค. ส่งผลให้ปมขัดแย้งเขม็งเกลียวขึ้นมาทันที
ล่าสุดมีกระแสข่าว “ภูมิใจไทย” อาจปฏิบัติการโหวตคว่ำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในการประชุมสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 28-30 พ.ค. นี้ หากร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ จะทำให้ “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ต้องประกาศ ยุบสภา
“กรุงเทพธุรกิจ” ผ่าเสียงในสภาฯ เช็คขุมกำลังขั้วพรรคร่วมรัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน หากจะต้องเปลี่ยนสูตรแบ่งขั้วกันใหม่ โดยขณะนี้เสียงในสภาฯมี 494 เสียง การโหวตร่างกฎหมายต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งจะอยู่ที่ 247 เสียง
ขั้วเดิมเสียงปึ้ก-แต่ขัดแย้ง
สำหรับ “ขั้วพรรคร่วมรัฐบาล” ในปัจจุบัน มี 324 เสียง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 142 เสียง พรรคภูมิใจไทย 69 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคกล้าธรรม 26 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 และพรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง
“ขั้วฝ่ายค้าน” ในปัจจุบัน มี 170 เสียง ประกอบด้วย พรรคประชาชน 143 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 19 เสียง พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง พรรคเป็นธรรม 1 เสียง และพรรคไทยก้าวหน้า 1 เสียง
หากสมการยังอยู่ในขั้วปัจจุบัน เสียงในสภาของ “พรรคร่วมรัฐบาล” ยังแข็งแกร่ง แต่ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง “เพื่อไทย” กับ “ภูมิใจไทย” ในฐานะพรรคอันหนึ่ง และพรรคอันดับสอง ยังดำเนินต่อไป แต่ความขัดแย้งยังอยู่
ขั้วใหม่ไม่ดูด “ฝ่ายค้าน” เสียงปริ่มน้ำ
ขณะเดียวกันหาก “เพื่อไทย” กับ “ภูมิใจไทย” ต้องแยกทางกัน จะมีอยู่สองสูตร สูตรแรกจัดตั้งรัฐบาลขั้วใหม่ โดยไม่ดึงพรรคฝ่ายค้านเข้าร่วม
โดยขั้วพรรคร่วมรัฐบาล จะมี 255 เสียง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 142 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคกล้าธรรม 26 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 และพรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง
ขั้วฝ่ายค้าน จะมี 239 เสียง ประกอบด้วย พรรคประชาชน 143 เสียง พรรคภูมิใจไทย 69 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 19 เสียง พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง พรรคเป็นธรรม 1 เสียง และพรรคไทยก้าวหน้า 1 เสียง
ทว่าสูตรนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง เนื่องจากเสียงขั้วพรรคร่วมรัฐบาล จะมี 255 เสียง แต่เสียงเกินกึ่งหนึ่งที่ต้องใช้ผ่านร่างกฎหมาย จะอยู่ที่ 247 เสียง เกินกึ่งหนึ่งมาเพียง 8 เสียง
ที่สำคัญพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคยังไม่มีความเป็นเอกภาพมากเท่าที่ควร โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีปัจจัยแปรผัน 4 เสียง ดังนั้นหาก “เพื่อไทย” จะเขี่ย “ภูมิใจไทย” ทิ้งโดยไม่ดึง “งูเห่า” จากขั้วฝ่ายค้านมาเติมเสียงเลยจึงมีน้อยมาก
ขั้วใหม่ดูด “ฝ่ายค้าน” เติมเสียง
ดังนั้นสูตรขั้วพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ โดยดูด “ขั้วฝ่ายค้าน” เข้ามาเติมเสียง เพิ่มความแข็งแกร่ง จึงมีความเป็นไปได้ เพื่อประคับประคองสถานการณ์ เซฟเก้าอี้ผู้นำให้ “แพทองธาร”
โดยจะทำให้ขั้วพรรคร่วมรัฐบาล มีประมาณ 280 เสียง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 142 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคกล้าธรรม 26 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 และพรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง เพิ่มเติมพรรคไทยสร้าง 6 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 19 เสียง
อย่างไรก็ตามในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ 19 เสียง อาจจะมีสูตรแยกก๊ก-แตกทัพออกมา โดยเฉพาะ “ทีมเพชรบูรณ์” ของ “สันติ พร้อมพัฒน์” จำนวน 6 เสียง และ สส.กำแพงเพชร ที่อยู่ในความดูแลของ “วราเทพ รัตนากร” จำนวน 2 เสียง
ส่วนขั้วฝ่ายค้านจะมี 214 เสียง ประกอบด้วย พรรคประชาชน 143 เสียง พรรคภูมิใจไทย 69 เสียง พรรคเป็นธรรม 1 และพรรคไทยก้าวหน้า 1
หากสูตรขั้วพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ออกมาในรูปแบบดังกล่าว จะทำให้เสียงของ “รัฐบาล” กลับมามีเสถียรภาพการขับเคลื่อนนโยบายของ “ทักษิณ - เพื่อไทย” อาจจะทำได้ง่ายขึ้น เนื่องจาก “พรรคร่วมรัฐบาล” ที่เหลือไม่แข็งแกร่งพอที่จะเคลื่อนเกมต่อรอง
ภท.ไม่ถูกดีไซน์ให้เป็น “ฝ่ายค้าน”
อย่างไรก็ตาม “ภูมิใจไทย” ภายใต้การนำของตัวจริงเสียงจริงที่ชื่อ “เนวิน ชิดชอบ” ไม่ถูกออกแบบมาให้เป็น “พรรคฝ่ายค้าน” เนื่องจากสไตล์การเมืองต้องพึ่งพา “อำนาจรัฐ” ขับเคลื่อนพื้นที่ของทีม สส.
แม้สถานการณ์ “ขั้วแดง” ปะทะ “ขั้วน้ำเงิน” จะเดินมาไกล และยากที่จะเยียวยา แต่ต้องจับตาว่า “เนวิน” จะมีไม้เด็ดซ่อนเล็บเอาไว้ เพื่อใช้ต่อรองกับ “ทักษิณ” หรือไม่
เดิมพันชะตา “ทักษิณ”
ขณะเดียวกัน “ทักษิณ” พอมองเกมออก และตระเตรียม “แผนสำรอง” เอาไว้บางส่วนแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่เปิดเกมรบ “เนวิน” เปิดศึก “สว.สีน้ำเงิน”
เดิมพันของ “ทักษิณ” ต้องชนะเพียงสถานเดียว เพราะหากเพลี่ยงพล้ำ “อำนาจรัฐ” หลุดมือ โอกาสที่จะโดน “เครือข่ายอนุรักษ์” เล่นงานมีไม่น้อยเช่นกัน
หลังจากนี้จับตาทุกกลเกมของ “ทักษิณ” และ “เนวิน” ในวันที่ต้องเผชิญหน้าแลกหมัดตาต่อตาฟันต่อฟัน โดยมีชะตาชีวิตของของ “สองผู้ยิ่งใหญ่” วางไว้เป็นเดิมพัน







