เชือด‘สว.สีน้ำเงิน’ระเบิดเวลา สยบอหังการ์-บีบสลายขั้ว

เกมเร็วเชือด“สว.สีน้ำเงิน”จะถึงคราวแตกหักระหว่างฝั่ง “แดง” กับฝั่ง “น้ำเงิน” หรือแท้จริงแล้วเป็นแค่การ “ซ่อนไพ่” ต่อรอง ในสภาวะที่ต่างฝ่ายต่างมีแผล
KEY
POINTS
-
นอกจาก 54 คนในล็อตแรก ยังมี สว.ล็อต2 ที่จะถูกออกหมายเรียกตามมา อีก 97 ราย โดยในกลุ่มนี้มีพยานหลักฐานชัดเจนอาจเชื่อมโยงถึง “ผู้บงการ” ซึ่งเป็น “ผู้มีอิทธิพล”
-
เกมเชือดสว.สีน้ำเงินที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ มีทั้งระดับ “หัวขบวน” เชื่อมโยงสายสัมพันธ์“นายใหญ่อีสานใต้” และ “คีย์แมนสีน้ำเงิน” รวมไปถึงระดับปฏิบัติการ สะท้อนชัดถึงเกมนิติสงครามที่กำลังเปิดฉากทุบ“สว.สีน้ำเงิน”ให้แตกรัง
-
ไม่ว่าจะด้วยวิธีสอยให้หายไปจากกระดานการเมือง เปิดเกม “พลิกสมการ” หรือการบีบให้สว.เปลี่ยนขั้วก็ตาม หากทำสำเร็จ ย่อมส่งผลไปถึงบารมีของ“ผู้ทรงอิทธิพลหลังม่าน” รวมถึงพลพรรคสีน้ำเงินที่อาจถูกลดทอนตามไปด้วย
-
เมื่อ“ดุลอำนาจสภาสูง” ซึ่งมีอำนาจในการสรรหาบุคคลในองค์กรอิสระถูกปกคลุมด้วยสีน้ำเงิน ขณะที่ดุลอำนาจในองค์กรอิสระเหล่านี้ตกอยู่ในสภาวะ“ปลา 2 น้ำ” ระหว่าง “อำนาจเก่า” และ “อำนาจใหม่” อาจมี “ไพ่ลับ” จำเป็นต้องถูกโยนออกมา
- จับตาคดี “โพยฮั้วสว.” ที่เป็นเสมือน “ระเบิดเวลา” ของฝ่ายสีน้ำเงินในเวลานี้ ถึงที่สุดจะถูกถอดสลักจบลงที่ฉากต่อรองเพื่อ“รอมชอม” ดุลอำนาจที่ต่างฝ่ายต่างถือในมือ หรือจะกลายเป็นเกม “แตกหัก” ในสมการการเมือง
“นิติสงคราม” เปิดฉากเดินเกมเร็วเชือด“สว.สีน้ำเงิน” จับตาสัญญาณ “พลิกสมการ” จะถึงคราวแตกหักระหว่างฝั่ง “แดง” ที่คุมกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ “ดีเอสไอ” กับฝั่ง “น้ำเงิน” ที่คุมอำนาจในสภาสูง หรือแท้จริงแล้วเป็นแค่การ “ซ่อนไพ่” ต่อรองใน “เกมดุลอำนาจ” ฉากต่อไป ในสภาวะที่ต่างฝ่ายต่างมีแผล
กรณีที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน นำโดย ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกหมายเรียกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ล็อตแรก 54 ราย ในความผิดตามตามความผิดกฎหมายเลือกตั้ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ตามมาตรา 32 มาตรา 36 มาตรา 62 มาตรา 70 และมาตรา 77 ซึ่งเป็นการกระทำในลักษณะ“ฮั้วเลือกสว.” พร้อมเปิดโอกาสชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายในวันที่ 19 พ.ค.
ไล่ลึกลงไปแต่ละรายชื่อ ล้วนเป็น “สว.สายสีน้ำเงิน” ทั้งสิ้น โดยจำนวนนี้มีระดับผุ้คุมเกมคือ “มงคล สุระสัจจะ” ประธานวุฒิสภา และ “พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์” รองประธานวุฒิสภาคนที่2 รวมอยู่ด้วย
เหตุผลที่กกต.มีการแจ้งข้อกล่าวหา สว.กลุ่มนี้คือ มีพฤติการณ์และพยานหลักฐานชัดเจนว่ากระทำความผิด ไม่ได้ถูกเลือกเป็น สว.โดยสุจริตเที่ยงธรรม
มีรายงานว่า นอกจาก 54 คนในล็อตแรก ยังมี สว.ล็อต2 ที่จะถูกออกหมายเรียกตามมา อีก 97 ราย โดยในกลุ่มนี้มีพยานหลักฐานชัดเจนโดยเฉพาะเรื่องกระแสเงินที่มีการจ่ายให้หัวละ 5,000- 20,000 บาท รวมมีเงินหมุนเวียนประมาณ 500 ล้านบาท
ถึงขั้นที่ว่าอาจเชื่อมโยงถึง “ผู้บงการ” ซึ่งเป็น “ผู้มีอิทธิพล” อีกด้วย
ตามกระบวนการ เมื่อ กกต. แจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ผู้ที่มีชื่อต้องชี้แจงรายละเอียด ทั้งการให้ปากคำ หรือเอกสาร เพื่อประกอบการไต่สวนของกกต. หากมีมูลจริง ต้องส่งให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาชี้ขาด ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะ เผลอๆอาจกินเวลานานเป็นปี
มีหลักฐานว่า เกมเชือดสว.สีน้ำเงินที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ มีทั้งระดับ “หัวขบวน” เชื่อมโยงสายสัมพันธ์“นายใหญ่อีสานใต้” และ “คีย์แมนสีน้ำเงิน” รวมไปถึงระดับปฏิบัติการ สะท้อนชัดถึงเกมนิติสงครามที่กำลังเปิดฉากทุบ“สว.สีน้ำเงิน”ให้แตกรัง
ว่ากันว่า หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้กกต.ได้หลักฐานและข้อมูล ชี้ชัดถึงการกระทำผิดพฤติกรรมของบรรดาสว.เหล่านี้ จนมีการเชื่อมโยงไปถึง“นักการเมือง” ผู้มากบารมี หรือ “รัฐมนตรี” บางคนที่อยู่เบื้องหลังได้ เกิดจาก “พยานปากสำคัญ”
โดยเฉพาะ“สว.สีน้ำเงิน”บางส่วน ที่ถูกยื่นข้อเสนอ“กันตัวเป็นพยาน” เพื่อเลี่ยงเข้าสู่โซนอันตราย หรือบางรายอาจพ่วงเงื่อนไข“เปลี่ยนสีเสื้อ” ในสภาสูงหลังจากนี้อีกด้วย
สอดคล้องกับการข่าวที่ว่า มีการชิงจังหวะหยิบ “คดีโพยฮั้ว” ในการสร้างแต้มต่อรองด้วยการเปิดเกมดูดสว.บางสาย หวังผล“พลิกสมการ”ที่ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
อีกหนึ่งสาเหตุที่สว.บางส่วนยอมเปลี่ยนสี เกิดจากปัญหาการบริหารจัดการภายใน ที่ “ดีลไม่ดัน” ในหลายเรื่อง แถมบางบทบาท บางตำแหน่งกลับถูกกินรวบโดย “สว.สายตรงบ้านใหญ่” เป็นหลัก
เมื่อดุล “สภาสูง” ถูกรวบเบ็ดเสร็จจากฝั่ง“สีน้ำเงิน” จนถูกใช้เป็น “ไพ่ต่อรอง” ทางการเมืองหลายครั้งหลายครา ไม่ต่างจากสารพัดวาระร้อนที่ต้องหยุดชะงักงัน อันเนื่องมาจากมี “ด่านสภาสูง” คอยเป็นเสี้ยนหนามตำใจ
เช่นนี้จึงไม่แปลกที่จะได้เห็นการเปิดฉากผ่าน “สงครามตัวแทน” เปิดเกมรุกกลับด้วยการ “ทุบสว.” สีน้ำเงินให้ “แตกรัง” ไม่ว่าจะด้วยวิธีสอยให้หายไปจากกระดานการเมือง เปิดเกม “พลิกสมการ” หรือการบีบให้สว.เปลี่ยนขั้วก็ตาม หากทำสำเร็จ ย่อมส่งผลไปถึงบารมีของ“ผู้ทรงอิทธิพลหลังม่าน” รวมถึงพลพรรคสีน้ำเงินที่อาจถูกลดทอนตามไปด้วย
ขณะที่“เกมสภาฯ” ก็จะสามารถ“ปลดล็อก”หลากหลายวาระร้อน โดยไม่มีด่านสว.มาเป็นอุปสรรคอีกต่อไป
ยกตัวอย่าง ประเด็นแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลและเป็นเจ้าของ “เรือธง” ดังกล่าว รู้ดีว่าขวากหนามสำคัญคือ เสียงสว.1 ใน 3 หรือจำนวน 67 เสียง จากสว.200คน จึงเป็นที่มาของการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความเพื่อประวิงเวลาไม่ให้“สว.สีน้ำเงิน” และ “พรรคสีน้ำเงิน” โหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญจนนำไปสู่หนทางลงเหวหลังจากนี้
หรือแม้แต่ร่างพ.ร.บ.การประกอบสถานบันเทิงครบวงจร หรือ“กฎหมายเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ที่ค้างคาอยู่ในสภาฯ จ่อคิวพิจารณาวาระแรก หลังเปิดสภาฯในเดือนก.ค.นี้ ถึงเวลานี้ ยังคงมี “ด่านสภาสูง” เป็นเงื่อนไขสำคัญ
เหนือไปกว่านั้นท่ามกลางสัญญาณ “ทุบสว.สีน้ำเงิน” นี้เอง ยังเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ “องค์กรอิสระ” กำลังเข้าสู่ช่วงผลัดใบอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งในส่วนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มี 2 คนที่พ้นวาระไปเมื่อช่วงปลายปี 2567 คือ “นครินทร์ เมฆไตรรัตน์” ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และ “ปัญญา อุดชาชน”ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ขณะนี้อยู่ในกระบวนการสรรหารอบที่สอง หลังที่ประชุมวุฒิสภา ตีตก “สิริพรรณ นกสวน สวัสดี”นักวิชาการรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ “ชาตรี อรรจนานันท์” อดีตอธิบดีกรมการกงสุล และอดีตเอกอัครราชทูต ประจำกรุงเฮก นั่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา
ล่าสุด 8 พ.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มี “ชนากานต์ ธีรเวชพลกุล” ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน มีมติเลือก “สุธรรม เชื้อประกอบกิจ” อาจารย์สาขา รัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ “สราวุธ ทรงศิวิไล” อดีตอธิบดีกรมการขนส่งทางราง และอดีตอธิบดีกรมทางหลวง เป็นผู้ถูกเสนอชื่อต่อวุฒิสภา เพื่อตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.)สอบประวัติฯ ก่อนนำรายชื่อเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภาต่อไป
น่าสนใจตรงที่มาที่ไปของ “สราวุธ” เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทางหลวง ในช่วงที่ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” อดีตเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เป็นรมว.คมนาคม ในรัฐบาลชุดที่แล้ว และอยู่จนครบวาระ 4 ปี
ต่อมาในยุคที่มี “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” เป็น รมว.คมนาคม ได้มีมติอนุมัติให้ต่ออายุราชการอีก 1 ปี เมื่อวันที่ 26 ก.ย.2566 ก่อนครบกำหนดเกษียณอายุราชการไปเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2567 ที่ผ่านมา
ขณะที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีกรรมการ3 คนครบวาระไปเมื่อปลายปี2567 ประกอบด้วย พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช. สุวณา สุวรรณจูฑะ และ วิทยา อาคมพิทักษ์ กรรมการป.ป.ช.
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช.มีมติเลือก ประกอบ ลีนะเปสนันท์ ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เพียรศักดิ์ สมบัติทอง อธิบดีอัยการ สำนักงานคณะกรรมการอัยการ และ ประจวบ ตันตินนท์ อดีตผู้บริหารบริษัทมหาชน และผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้วุฒิสภาเห็นชอบ ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการของวุฒิสภา
อีกส่วนที่ต้องจับตา คือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะมีกรรมการที่จะครบวาระ ในปี 2568 ทั้งสิ้น 5 คน จากทั้งหมด 7 คน แบ่งเป็น 3 คนครบวาระในเดือนส.ค.2568 ประกอบด้วย อิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.สันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ ปกรณ์ มหรรณพ
อีก 2 คน จะครบวาระในเดือน ธ.ค.2568 ประกอบด้วย เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ และฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ
แน่นอนว่า เมื่อ“ดุลอำนาจสภาสูง” ซึ่งมีอำนาจในการสรรหาบุคคลในองค์กรอิสระถูกปกคลุมด้วยสีน้ำเงิน ขณะที่ดุลอำนาจในองค์กรอิสระเหล่านี้ตกอยู่ในสภาวะ“ปลา 2 น้ำ” ระหว่าง “อำนาจเก่า” และ “อำนาจใหม่”
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ “สว.สีน้ำเงิน” กำลังเผชิญวิบากกรรมในคดี“โพยฮั้ว” ที่ กำลังไล่ล่าอยู่ในเวลานี้ อาจเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สารพัด “ไพ่ลับ” จำเป็นต้องถูกโยนออกมาเช่นกัน
ต้องจับตาคดี “โพยฮั้วสว.” ที่เป็นเสมือน “ระเบิดเวลา” ของฝ่ายสีน้ำเงินในเวลานี้ ถึงที่สุดจะถูกถอดสลักจบลงที่ฉากต่อรองเพื่อ“รอมชอม” ดุลอำนาจที่ต่างฝ่ายต่างถือในมือ หรือจะกลายเป็นเกม “แตกหัก” ในสมการการเมืองหลังจากนี้!







