ชนวนร้าว สึกกร่อน ‘ชินวัตร’ วัดไพ่อำนาจ ‘ทักษิณ-แพทองธาร’

“รัฐบาลเกิดจากสภาพไม่ปกติ เกิดจากมีผู้กำกับการแสดงคือ รัฐพันลึก ฉะนั้น คุณไม่ได้มีอะไรเลย แม้กระทั่ง คุุณจะบอกว่าวันนี้คุณจะลาออกแล้วจะส่งไม้ให้คนโน้นคนนี้ คุณก็กำหนดเองไม่ได้ แล้วถ้าคุณบอกจะยุบสภาฯ คุณก็กำหนดเองไม่ได้ ทั้งๆ ที่คุณมีอำนาจ”

บทวิเคราะห์จากผู้สันทัดกรณีทางการเมือง เมื่อ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อ่านหมากกระดานการเมืองของรัฐบาลผสมข้ามขั้ว “เพื่อไทย” จับมือกับ “ก๊กอนุรักษนิยม” ที่มี หัวขบวนเบอร์รองอย่าง “พรรคภูมิใจไทย” และ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ดีเอ็นเอพรรคลุงตู่ ร่วมจับมือประกอบกำลังประสานผลประโยชน์ให้ลงมติ

ด้วยกลไกของ “รัฐธรรมนูญ” ฉบับปี 2560 “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” สส.พรรคเพื่อไทย เคยชำแหละว่า เป็นกติกาสูงสุดที่ใช้ไม่ได้ เป็นฉบับ “ซือแป๋” ที่ออกแบบโดยปรมาจารย์ ผู้ช่ำชองขั้นอ๋องเนติบริกรให้กับกลุ่มอำนาจที่มาจากรัฐประหารอยู่เสมอในช่วงระยะหลังในรอบเกือบ 20 ปี

รัฐธรรมนูญ ฉบับรากเหง้า คสช.ออกแบบมาเพื่อป้องกัน หรือสกัดไม่ให้พรรคเพื่อไทย ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเหมือนในอดีตกลับเป็นจุดเสี่ยง จุดล่อแหลม จุดร้าวลึก จนเป็นเชื้อสะสมให้เกิดสภาพความสึกกร่อน ภายในองคาพยพ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ภายใต้การนำของ “พรรคเพื่อไทย” โดยมีเงาของ “ทักษิณ ชินวัตร” อยู่ฉากหลังในการกำหนดความเป็นไปและการดำรงอยู่ของ “รัฐบาลแพทองธาร”

ไล่เรียงดูมิติสึกกร่อน ก็พบว่ามีหลายปมร้อนสะเทือนถึงความไม่แน่นอนของอายุรัฐบาลชุดนี้ จากการงัดข้อร้าวลึกระหว่างค่ายแดงและค่ายก๊กน้ำเงิน

ทั้งจากปัจจัยการเปิดเกมรบ องคาพยพ สว.ก๊กสีน้ำเงิน ไม่ต่ำกว่า 130 เสียง ที่มีเงาของ “พรรคการเมืองสีน้ำเงิน” อยู่ฉากหลัง ผ่านคดีโพยฮั้ว สว.

ล่าสุด คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ได้ออกหนังสือเรียกให้ 55 สว.เข้ามาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาในระหว่างวันที่ 19-21 พ.ค. 2568 หากไม่มารับทราบและไม่ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาจะถือว่าสละสิทธิ์ในการชี้แจงแสดงหลักฐานหรือให้ถ้อยคำแก้ข้อกล่าวหา

ในขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญก็เริ่มขยับความคืบหน้าคดี 92 สว.ลงชื่อยื่นขอให้ศาลวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในฐานะรองประธานกรรมการคดีพิเศษ ในข้อกล่าวหารัฐมนตรี 2 รายไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5)

ล่าสุด ภูมิธรรม และพ.ต.อ.ทวี ได้ทำหนังสือขอขยายเวลาส่งคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญอีก 15 วัน หลังจากครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มี.ค.2568 ศาลสั่งให้ส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลภายใน 15 วัน คาดว่ารัฐมนตรีทั้งสองคนจะต้องส่งคำชี้แจงต่อศาลธรรมนูญภายในวันที่ 7 พ.ค. 2568

ผลของคดีในศาลรัฐธรรมนูญคงมีเพียง 2 ทาง คือยกคำร้อง และอีกทางมีบทสรุปไม่ต่างจากอดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน คือ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี และมีตราบาปติดตัว ที่สำคัญยังสะเทือนต่อร่างทรงผู้จัดการรัฐบาลใน ครม.ด้วย

เกมบีบ "ทักษิณ" ปมติดคุกไม่จริง

ปัจจัยสึกกร่อนกล่องดวงใจรัฐบาลเพื่อไทย คือ เกมบีบผู้นำจิตวิญญาณ “พรรคเพื่อไทย” จากกรณี ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รับไต่สวนเอง กรณี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พักรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยมีข้อสงสัยในฝั่งตรงข้าม “พรรคเพื่อไทย” ว่าได้รับโทษถึงที่สุดแล้วหรือไม่

ขณะที่ “บอร์ดแพทยสภา” มีมติเสียงส่วนใหญ่ เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2568 สั่งฟัน “3 แพทย์” ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำตัวและรักษาตัวของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยว่ากล่าวตักเตือนแพทย์ 1ราย กรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้มาตรฐาน และพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 รายกรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง

ขั้นตอนจากนี้ “บอร์ดแพทยสภา” จะนำมติดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมสภานายกพิเศษ ที่มี “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข เป็นนายกสภาพิเศษ ในระยะเวลา 15 วัน เพื่อพิจารณาว่าจะมีความเห็นตามมติคณะกรรมการแพทยสภา หรือมีความเห็นแย้งหรือไม่

จังหวะเดียวกัน ศาลอาญาตีตกคำร้องที่ “ทักษิณ” จำเลยคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ขออนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ตามเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราว เพื่อร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ประเทศการ์ตาเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ.ทรัมป์

พรรคร่วมตั้งป้อมขวางเรือธง พท.

ยังไม่นับรวมปัจจัยร้าวลึก ที่คอยเซาะกร่อนบ่อนทำลายเสถียรภาพภายในรัฐบาลแพทองธาร ที่ประกอบกำลังด้วยกลุ่มอนุรักษนิยม เป็นส่วนใหญ่ จำนวน 323 เสียง โดยเฉพาะนโยบายการเดินเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผ่านกระบวนการออกเสียงประชามติ เพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ

นโยบายเรือธงสำคัญ “เอ็นเทอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดหลังการเปิดประชุมรัฐสภา ในวันที่ 3 ก.ค. 2568 จะฝ่าด่านวาระรับหลักการได้หรือไม่

ขณะที่่ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ก็จะเข้าโหวตวาระที่หนึ่ง ในห้วงวันที่ 28-30 พ.ค. 2568 แต่กลับมีเสียงขู่จากฝั่งค่ายน้ำเงิน พร้อมแสดงพลังโหวตคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบฯ ที่ตัวเองอยู่ร่วมรัฐบาล

ตรวจสอบเสียงพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเป็นทางการมีจำนวน 11 พรรค นับมือนับหัว สส.มีทั้งหมด 323 เสียง ส่วนฝ่ายค้านมี 171 เสียง

ยอด สส.ในสภาฯ ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ 494 คน ดังนั้นมติกึ่งหนึ่งการโหวตทุกมิติในสภาฯ ต้องมากกว่า 247 เสียง

หากไม่นับรวมพรรคภูมิใจไทย 69 เสียง พรรคร่วมรัฐบาลยังมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งราว 254 เสียง และอาจได้เสียงจากปีกฝ่ายค้านมาช่วยเติมเต็มในการโหวตหนุนร่าง พ.ร.บ.งบฯ

เงื่อนไขการโหวตคว่ำของพรรคภูมิใจไทยจึงมีความเสี่ยง เพราะหากค่ายน้ำเงินเดินเกมนี้ เท่ากับผลักตัวเองให้ไปอยู่ฝ่ายค้าน กระทรวงมหาดไทยจะถูกยึดในอยู่ในมือพรรคเพื่อไทยทันที

ปัจจัยรอจังหวะรัฐบาลเพลี่ยงพล้ำ อย่างม็อบนอกสภาฯ ยังปลุกเร้าผ่านการต่อต้าน “กาสิโน” ในนโยบาย “คอมเพล็กซ์” เพื่อรอเงื่อนไขทางการเมืองอันสุกงอมแล้วปลุกม็อบเพื่อคว่ำรัฐบาล

ระทึกคดีเผือกร้อนสะเทือน  รบ.

ยิ่งขมวดปัจจัย การเมืองทั้งในและนอกสภาฯ ในห้วงที่รัฐสภาปิดสมัยประชุม ทำให้คอการเมืองนอกสภาฯ ถึงขั้นจดปมร้อนไล่เรียง คดีเผือกร้อน ว่าคำร้องใดจะเกิดขึ้นก่อนในรัฐบาลชุดนี้

ไล่ตั้งแต่ 1.การลงดาบเชือด 138 สว.ก๊กสีน้ำเงิน 2. สว.สีน้ำเงิน อาจงัดอำนาจหน้าที่ของตัวเองเดินหน้าถอดถอนนายกฯ แพทองธาร หรือแม้กระทั่งโหวตยับยั้งร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2569

 3.ทักษิณ ชินวัตร อาจจะต้องกลับไปติดคุกจริงในเรือนจำ และ 4.คดี 25 สส.พรรคประชาชนที่เคยลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ถูกสั่งยุติปฏิบัติหน้าที่และนำไปสู่การส่งศาลฎีกาฯ เพื่อไต่สวนและตัดสิทธิทางการเมือง

เกมลดแรงต้านแรงต่อรองทั้งในและนอกกสภาฯ คอการเมืองอาจได้เห็นอำนาจการปรับ ครม.ของนายกรัฐมนตรี อาจจะเกิดขึ้นก่อนเปิดสมัยประชุมรัฐสภา หรือแม้กระทั่งเกิดหลังงบประมาณปี 69 ผ่านรัฐสภา เพื่อลดดีกรีแรงต้านทั้งหมด ก่อนที่รัฐบาลจะเดินหน้าผลักดันเรือธงผ่านกลไกนิติบัญญัติต่อไป

การสยบเงื่อนไขจุดเสี่ยง ล่อแหลมไม่ให้ซ้ำรอยรัฐบาลชินวัตรในอดีตนั้น “ทักษิณ” และ “แพทองธาร” จึงต้องประคองร่วมกันเดินหมากทางการเมืองอย่างระมัดระวัง

ถอดบทเรียนจุดจบรัฐบาลชินวัตร

อย่าลืมว่า รอยร้าวภายในรัฐบาลในอดีตหลายปัจจัยล้วนเกิดจากตัวผู้นำรัฐบาลและพรรคแกนนำพรรคเพื่อไทยเอง

เห็นได้จากรัฐบาลไทยรักไทยเมื่อปี 2549 นำไปสู่การยุบสภาฯ เกิดจากการจุุดชนวนเองของ “ทักษิณ” ผ่านการเดินหน้าขายหุ้นของ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่มีทั้งหมดให้กับบริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ จนนำไปสู่การปลุกม็อบเสื้อเหลืองสุดท้ายจุดชนวนให้ทหารยึดอำนาจ

ส่วนการล้มลงของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ก็เกิดจากปัจจัยความแตกร้าวภายในพรรคพลังประชาชน เมื่อปี 2551 ระหว่างก๊กเนวิน ชิดชอบ กับก๊กเพื่อไทยสายชินวัตร ด้วยการที่คนชินวัตรหมดโปรนายกฯ สมัคร สุนทรเวชแล้ว จนกระทั่งเกิดจุดเปลี่ยนนำไปสู่การพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ขณะที่การล้มลงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มาจากการเดินเกมผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจากครึ่งซอยมาสุดซอยในชั้นกรรมาธิการจนถึงขั้นวาระที่ 3 ปลุกกระแสให้พรรคประชาธิปัตย์ออกมานำม็อบนอกสภาฯ จนเรียกทหารให้ยึดอำนาจซ้ำสองได้อีก

จุดสึกกร่อนของรัฐบาลแพทองธารในเวลานี้ ล้วนต้องเดินเกมและถอดบทเรียนจากรัฐบาลของตัวเองในอดีตทั้งสิ้น เพราะมีผลต่อการอยู่ร่วมกันของรัฐบาลเพื่อไทยผสมพันธุ์ ข้ามขั้วก๊กอนุรักษนิยมในเวลานี้ ที่มีปัจจัยแตกต่างจากรัฐบาลเสียงข้างมากเด็ดขาดในอดีต

มีการมองไพ่อำนาจยุบสภาฯ ของนายกฯชินวัตร ไม่ใช่ว่าไม่อาจเกิดขึ้นเลยในรัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งถูกขั้วก๊กสีส้มดิสเครดิตว่า มีดีลลับทำสัญญาปีศาจกับก๊กอนุรักษนิยมเพื่อการกลับมาประเทศของ “ทักษิณ” 

จนกลายสภาพเป็นรัฐบาลรัฐพันลึก รอวันสึกกร่อนในเวลานี้ เพราะผู้มีอำนาจสูงสุดในค่ายเพื่อไทยยังอ่านเกม และเชื่อมั่นว่า หลังการเลือกตั้งครั้งใหม่จะได้กลับมาตั้งรัฐบาลมีสูงกว่าก๊กสีส้ม