ขจัดโรคันตภัย ไวรัสโควิด-๑๙ .. ด้วยหัวใจที่มีธรรม

เจริญพรสาธุชนผู้มีสติปัญญา ... มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า...
ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง
ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหาติ
เอสานิสังโส ธัมเม สุจิณเณ
นะ ทุคคะติง คัจฉะติ ธัมมะจารีติ...
คลี่ความเป็นภาษาท้องถิ่นเราว่า ธรรมนั่นแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่บุคคลสั่งสมดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้
คำที่น่าสนใจนำมาพิจารณา คือ คำว่า “ธรรม” ... จึงควรถามตนเองว่า เข้าใจคำว่า “ธรรม” ตามหลักพุทธศาสน์แค่ไหน ใช่ตรงตามความหมายของธรรมในศาสนานี้หรือไม่..
ก่อนจะคิดกันไปไกล ก็ขอให้สรุปความหมายรวมลงที่พระธรรม ที่แสดงในความเป็นศาสนาสาม คือ ปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม และปฏิเวธธรรม...
เมื่อเชื่อมโยงกันได้อย่างนี้ ก็ให้ย้อนกลับไปศึกษาว่า หลักธรรมอันใดที่ทรงตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง นั่นแหละคือ ความหมายของธรรมในพระศาสนา
หากแปลตรงตามตัวหนังสือ ก็คงสรุปได้ว่า
ธรรม หมายถึง สภาพที่ทรงไว้, ธรรมดา หรือ ธรรมชาติ
แต่หากจะแปลไปในความเป็นข้อปฏิบัติ ดังเช่น หลวงพ่อพุทธทาส จะสรุปคำว่า ธรรม ลงที่ หน้าที่ โดยอ้างเหตุผลรองรับความหมายที่สรุปว่า... เพราะไม่มีสิ่งใดในสากลโลก ที่ไม่มีหน้าที่ !
แต่เมื่อมาใคร่ครวญพิจารณาคำว่า พระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนานั้น จะสรุปชัดเจนลงได้ว่า.. ธรรมะ คือ หลักความเป็นธรรมดาของโลก ที่ต้องเป็นเช่นนี้ ไม่เปลี่ยนไปจากนี้ จะไม่แปรเป็นอย่างอื่น ที่เรียกหลักธรรมดังกล่าวว่า อิทัปปัจจยตา .. โดยสะท้อนให้เห็นถึงสัจธรรมว่า สรรพสิ่งทั้งหลายมีหน้าที่กำกับโดยกฎของธรรมชาติ .. ที่จะต้องได้รับผลตามกฎธรรมชาตินั้น
การลำดับหน้าที่อันจะต้องมีสิทธิหรือผลที่พึงจะต้องรับ อย่างไม่สามารถปฏิเสธหรือไม่ต้องเรียกร้องใด ๆ เลย โดยมีหลักธรรมดาว่า.. “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ต้องมี .. หรือ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี .. สิ่งนี้ก็ไม่มี ฯลฯ...” จึงให้เห็นความเป็นจริงแน่นอนตายตัวว่า... จักต้องเป็นเช่นนี้ เมื่อกระทำอย่างนี้ ที่เรียกตามคำบาลีว่า นิยาม หมายถึง การกำหนดแน่นอน ดังปรากฏนิยามของธรรมชาติ หรือ นิยามของความเป็นจริงที่เป็นธรรมดา ที่ปรากฏอยู่ในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
จึงมีการศึกษาเรื่อง นิยาม ๕ ประการขึ้นในพระพุทธศาสนา.. ได้แก่ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ... ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจในธรรมะทุกระดับ ไม่ว่าโลกียธรรมหรือโลกุตรธรรม โดยรวมลงในความเป็นอนัตตาธรรม ดังพระพุทธภาษิตที่ว่า “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” ...
คำว่า อนัตตา นั้น มีลักษณะธรรม ๔ ประการ ได้แก่ สุญญโต อสฺสามิกโต อวสวตฺตนโต อตฺตปฏิกฺเขปโต ที่สะท้อนให้เห็นความจริงแท้ของคำว่า ธรรมะ หรือ ธัมมะ ในพระพุทธศาสนานี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง ปรากฏความเป็นสัจธรรมแท้จริง อันมีอยู่อย่างเป็นเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
ชาวพุทธ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายมหายานหรือเถรวาท เมื่อเข้าใจคำว่า อนัตตา หรือ สุญญตา จึงย่อมเข้าใจถึงธัมมะหรือธรรม .. ในธรรมชาติ อันปรากฏมีอยู่ในชีวิตของสัตว์เราทั้งหลาย ที่จะนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้อันถูกต้องตรงธรรมให้เกิดขึ้น เพื่อการดำเนินชีวิตไปอย่างรู้ หน้าที่อันควรกระทำ .. คำอันควรจะกล่าว .. เรื่องราวอันควรจะคิด... โดยไม่วิจิกิจฉาในผลหรือสิทธิอันพึงจะต้องได้รับจากหน้าที่อันเป็นธรรมนั้น ๆ....
ดังแสดงธรรมนิยาม .. ให้แตกกระจายออกไปในรูปของ กรรมนิยาม จิตนิยาม พีชนิยาม และอุตุนิยาม... เพื่อการเข้าใจในความเป็นธรรมดาของธรรมชาติว่า.. จักต้องเป็นเช่นนี้ จะต้องเป็นอย่างนี้ จักไม่แปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น .. และสรุปรวมพระธรรมคำสั่งสอน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ลงในหนึ่งประโยคที่ว่า
สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ แปลว่า สิ่งทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น...
ดังนั้นการที่จะปฏิบัติตนให้รู้ถึงซึ่งความหมายของบทธรรมดังกล่าวได้นั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แบบปอกกล้วยเข้าปาก.. มิฉะนั้นบรรดาพญาวานรทั้งหลายคงบรรลุธรรมกันหมดแล้ว .. แม้ในพวกเราทั้งหลายที่ชอบสำเร็จธรรมด้วยความคิดนึก ! .. ทั้งนี้เพราะธรรมหรือธัมมะไม่ได้สำเร็จด้วยความคิดนึก แต่ต้องเกิดจากการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ถูกมรรค ตรงผล .. อย่างไม่ขาดสายในการเจริญสติปัฏฐานสี่เลย นี่คือความจริงที่ควรนำมาเป็นหลักอ้างอิงในการพิจารณา เพื่อกลับไปทำความเข้าใจว่า.. จะผ่านความเป็นธรรมดาของโรคไวรัส โควิด-๑๙ ได้อย่างไร ในยุคโรคันตภัย ที่มาถึงถิ่นฐานบ้านช่องของเราแล้วนี้ !!!!
เจริญพร







