หุ่นยนต์ผ่าตัด

หุ่นยนต์ผ่าตัด

รื่องราวของหุ่นยนต์ผ่าตัดฟังดูเสมือนเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ หากแต่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่มีมาเกือบ 20 ปีแล้ว ในโลกบ้านเราก็มีมาหลายปีแล้ว

และมีหลายตัวด้วย หุ่นยนต์นี้มิได้ทำหน้าที่แทนแต่ช่วยแพทย์ผ่าตัดเพื่อให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและหน้าตาก็มิได้เป็นหุ่นยนต์ดังที่เราจินตนาการ

เท่าที่มีหลักฐานมนุษย์ใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อรักษาความเจ็บป่วยมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณเมื่อ 5,000 ปีก่อน โดยเจาะกระโหลกเพื่อขับไล่ผีชั่วร้ายที่สิงร่างอยู่และเจาะกรามเพื่อให้หนองไหลเข้าใจว่ามีการผ่าตัดกันไม่น้อยโดยพระเป็นผู้ผ่าตัดมีการเย็บแผลและใช้น้ำผึ้งเป็นตัวสมานการอักเสบ ต่อมาก็มีการผ่าตัดในอารยธรรมอินเดียและจีน

ในยุคสมัยใหม่ แต่ดั้งเดิมการผ่าตัดส่วนใหญ่ในบริเวณช่องท้องและเชิงกรานใช้วิธีผ่าเปิดเป็นแผลยาว เพื่อตัดเนื้อร้ายตัดไส้ติ่ง เอานิ่วออกฯลฯ โดยมีความก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับควบคู่กับการพัฒนาดมยาสลบ อย่างไรก็ดีมันทำให้ร่างกายชอกช้ำมากจึงทำให้แพทย์คิดหาวิธีอื่นที่ได้ผลเหมือนกันแต่เจ็บปวดน้อยลงและฟื้นตัวหลังผ่าตัดได้เร็วกว่าเพราะชอกช้ำน้อยกว่า

วิธีหนึ่งที่มีการพัฒนาการมาตั้งแต่ปี 1910 และก้าวหน้าเป็นลำดับจนถึงทศวรรษ 1990 จึงมีการแพร่หลายก็คือ Laparoscopy หรือการผ่าตัดในบริเวณท้องและเชิงกรานโดยการกรีดแผลยาวเสมือนรูเพียง 0.5-1.5 เซ็นติเมตร และใช้เครื่องมือลงไปผ่าโดยอาศัยกล้องที่ถ่ายทอดภาพมาบนลงจอ

ปัจจุบันเป็นที่นิยมมาก บางแห่งก้าวหน้าขึ้นโดยใช้หุ่นยนต์ซึ่งควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ช่วย โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2009 หุ่นยนต์ก็คือเครื่องมือแพทย์ที่ทำงานประกอบกันหลายชิ้น มิได้มีหน้าตาเหมือนหุ่นยนต์ในภาพยนตร์แต่อย่างใด ที่เรียกว่าหุ่นยนต์ก็เพราะมันเคลื่อนไหวได้การเคลื่อนไหวก็นิ่มนวลและแม่นยำกว่ามือมนุษย์ คิดคำนวณความลึกของอวัยวะและความยาวของแผลที่กรีดอย่างสอดคล้องกัน ดูดของเหลว ล้วงหยิบอวัยวะ ใช้เข็มแทง กรีดตัด ฯลฯ

อย่างไรก็ดี วิวัฒนาการของการใช้หุ่นยนต์เพื่อผ่าตัดมิได้หยุดเพียงแค่นี้ ปัจจุบันไปไกลขึ้นทุกที กล่าวคือใช้ทั้งคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมผนวกกัน(ผ่าตัดโดยส่งคำสั่งให้หุ่นยนต์ปฏิบัติการจากแพทย์ผ่าตัดที่อยู่ห่างไกลเป็นพันๆกิโลเมตรได้)

การใช้หุ่นยนต์ผ่าตัดนั้นแพทย์เป็นผู้รับผิดชอบการผ่าตัด(มิใช่หุ่นยนต์) ใช้ 2 วิธีในการควบคุมเครื่องมือผ่าตัดแทนการผ่าตัดโดยตรงด้วยมือกล่าวคือ(1)แพทย์ผ่าตัดตามปกติโดยใช้หุ่นยนต์ช่วยเหลือสนับสนุนไม่ว่าในการถ่ายทอดภาพลงบนจอ การเคลื่อนไหวมือของหุ่นมาช่วยงาน ฯลฯ (2)แพทย์ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการผ่าตัดโดยบังคับการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์และมือโดยแพทย์บังคับผ่านจอควบคุม

ในหลายกรณีมักมีการผสมกันระหว่างการทำงานของแพทย์ผ่าตัดแบบปกติ ทั้งผ่าแบบเปิดกับผ่าแบบรูผสมกับการใช้หุ่นยนต์ที่มีความฉลาดในการทำงานเพื่อทำหน้าที่ต่างๆเช่น ถ่ายทอดภาพจากแผลที่เจาะลงไป เพื่อขึ้นบนจอแบบ 3 มิติและขยายภาพอีกหลายพันเท่า เพื่อความสะดวกในการทำงานของแพทย์ ในสมองของหุ่นยนต์มีข้อมูลที่ได้มาจากMRI สภาวะของคนไข้ ลักษณะพิเศษอื่นๆ ฯลฯ เพื่อนำมาประมวลใช้ในการทำงานของมัน

แพทย์ผ่าตัดอวัยวะต่างๆ ด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน เช่นรักษาชีวิต พิสูจน์ความเป็นเนื้อร้าย เสริมความงาม ฯลฯ ทำให้มีความซับซ้อนในการใช้หุ่นยนต์เป็นเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของแพทย์

โดยสรุปการผ่าตัดโดยทั่วไปในปัจจุบันด้วยหุ่นยนต์แพทย์เจาะรูขนาดเล็ก3-4รูและสอดกล้องที่ถ่ายทอดภาพ3มิติออกมาโดยเป็นภาพขยาย360องศา(รอบตัว)ของบริเวณที่จะผ่าตัด แพทย์มองเข้าไปในเครื่องที่มีจออยู่ข้างในและทำงานผ่านการบังคับมือและเท้าคล้ายการเล่นเกมส์เพื่อบังคับการเคลื่อนไหวของแขนหุ่นยนต์ซึ่งถืออุปกรณ์ผ่าตัด ทีมงานผ่าตัดก็จะติดตามเฝ้าดูโดยแพทย์อาจใช้การผ่าตัดธรรมดาร่วมด้วย เช่น การเย็บแผลและดูแลความเรียบร้อยขั้นสุดท้าย

หุ่นยนต์ผ่าตัดจริงๆ จัง อย่างสมบูรณ์เกิดขึ้น เมื่อมีผู้ประดิษฐ์หุ่นยนต์ผ่าตัดตัวแรกที่มีชื่อว่า AESOP ในปี 1994 และต่อมาก็พัฒนา Zeus ขึ้นในปี 2001 แต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงถูกควบกิจการไป โดยคู่แข่งคือบริษัทผู้สร้าง da Vinci ต่อมาในปี 2003

Da Vinci Surgical System ของสหรัฐ เป็นระบบผ่าตัดโดยหุ่นยนต์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของโลก ในปัจจุบันได้รับการอนุญาตโดย FDA ในปี 2000 เหตุที่ตั้งชื่อนี้ก็เพราะ Leonardo da Vinci เป็นผู้ศึกษากายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์ อีกทั้งสเก็ตภาพของหุ่นยนต์เป็นคนแรกของโลกเมื่อ500กว่าปีมาแล้วพร้อมกับเป็นศิลปินวาดภาพผู้ยิ่งใหญ่ของโลก

Da Vinci ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ผ่าตัดได้คล่องตัวที่สุด (ผ่าตัดอวัยวะที่มือแพทย์ไปไม่ถึง มองเห็นไม่ถนัด ไม่มีละเอียดและกว้างไกลด้วยภาพแบบ 3 มิติ) ทำให้ชอกช้ำน้อยที่สุด ผ่าตัดได้แม่นยำและมีโอกาสเกิดการแทรกซ้อนได้น้อยกว่า

Da Vinci ซึ่งผ่าตัดได้หลากหลายอวัยวะและหลากหลายสภาวการณ์ แต่ที่นิยมกันมากที่สุดก็คือผ่าตัดมดลูก ผ่าตัดต่อมลูกหมากและซ่อมแซมลิ้นหัวใจ da Vinci จะมี 4 แขนโอบล้อมคนไข้จากข้างบน โดย 3 แขนถือเครื่องมือ เช่น มีด กรรไกร เข็ม ฯลฯ แพทย์จะสั่งให้เคลื่อนไหวผ่านจอในเครื่อง โดยนั่งอยู่ในห้องเดียวกันผ่านการเคลื่อนไหวมือเพื่อสั่งให้แขนหุ่นยนต์ทำงานข้อมือของแขนนั้นเคลื่อนไหวได้รอบทิศ อย่างชนิดที่มือมนุษย์ทำไม่ได้ da Vinci ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยให้การผ่าตัดแบบ Laparoscopy มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยแพทย์ไม่ต้องยืนและเหลือบมองดูจอ2มิติทีไม่ชัดและปรับกล้องไปด้วย

ถึงปลายปี2016 มีการติดตั้ง de Vinci จำนวน 3,803 เครื่องทั่วโลก โดย 2,501 เครื่องอยู่ในสหรัฐ 644 ในยุโรป 476 ในเอเชีย(ของไทยมีอยู่ 6 เครื่องโดยอยู่ในโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยรัฐ 5 เครื่อง อีก 1 เครื่องในโรงพยาบาลเอกชน) อีก 182 อยู่ในที่อื่นๆ ของโลก ราคาประมาณ 2 ล้านเหรียญและค่าดูแลรักษาอีกหลายแสนเหรียญต่อปี

ปัจจุบันกว่า 90% ของการผ่าตัดต่อมลูกหมาก (อวัยวะของผู้ชายไม่ใช่ชิ้นส่วนของรถยนต์และมีตัว“ก”ตอนท้าย) ในสหรัฐใช้ da Vinci เนื่องจากตำแหน่งของต่อมลูกหมากนั้นยากต่อการทำงานอย่างถนัดมือของแพทย์ การผ่าตัดอวัยวะอื่นๆ นั้นเริ่มมีการใช้กันมากขึ้นเป็นลำดับ ในช่วงเวลากว่า 15 ปีที่ผ่านมา 

แพทย์ผ่าตัดจำนวนไม่น้อยในสหรัฐต่อต้านการใช้หุ่นยนต์ผ่าตัด เพราะมีค่าบริการสูงมากเป็นพิเศษและไม่จำเป็นในหลายกรณี อย่างไรก็ดี คลื่นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแพทย์ที่เพิ่มพูนคุณภาพชีวิตถาโถมเข้าใส่โลกมนุษย์อย่างยากที่จะไปหยุดมันได้

หุ่นยนต์ผ่าตัดถึงจะวิเศษแค่ไหนก็เป็นทาสของแพทย์ผ่าตัดอยู่ดี มันเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้น มิใช่เป็นสิ่งที่มาทดแทนแพทย์ผู้ซึ่งใช้วิจารณญาณบนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ในการตัดสินใจ