ถึงเวลาปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์แล้วหรือยัง?

กรณีการเสนอชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่แทนสมเด็จพระญาณสังวรฯ ที่เพิ่งเสร็จงานออกพระเมรุไป
เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากสังคมอย่างกว้างขวางในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีกระแสทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน และมีทีท่าว่าอาจจะบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งกันภายในระหว่างคณะสงฆ์ รวมทั้งในหมู่ชาวพุทธทั่วไปด้วย
ถ้าพิจารณาในแง่ข้อกฎหมาย เรื่องนี้คงวินิจฉัยได้ไม่ยาก เนื่องจากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 (พ.ร.บ.คณะสงฆ์) มาตรา 7 วรรคสอง ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนให้เสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะซึ่งมี “อาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์” เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องข้อกฎหมายไม่ใช่วัตถุประสงค์ในการยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวในที่นี้ แต่อยากชวนท่านผู้อ่านได้ร่วมกันใคร่ครวญดูว่า กรณีที่เกิดขึ้นได้สะท้อนถึงปัญหาในวงการคณะสงฆ์ไทยอย่างไรบ้าง และถึงเวลาหรือยังจะต้องทบทวนเสียใหม่ให้เหมาะสมกับกาลสมัย หากจะให้คณะสงฆ์สามารถเป็นหลักของพระพุทธศาสนาและสังคมไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป
โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ไทยตามที่กำหนดใน พ.ร.บ. คณะสงฆ์ มีลักษณะเป็นการปกครองแบบ “รวมศูนย์อำนาจ” ซึ่งจำลองมาจากการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลของฝ่ายอาณาจักรเมื่อกว่าร้อยปีที่แล้วในสมัยรัชกาลที่ 5 กล่าวคือ เป็นการบริหารไล่ไปตามลำดับชั้น ตั้งแต่ระดับเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัด ภาค หน โดยมีมหาเถรสมาคมเป็นองค์กรสูงสุดในการปกครอง ประกอบด้วยสมเด็จพระราชาคณะทุกรูป และพระราชาคณะอื่นอีกไม่เกิน 12 รูปเป็นกรรมการ และมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานโดยตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม การรวมศูนย์อำนาจนั้นเองกลายเป็นปัญหาของมหาเถรสมาคม กล่าวคือ การตัดสินใจเกือบทุกเรื่องเกี่ยวกับการบริหารคณะสงฆ์และกิจการพระพุทธศาสนา ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ล้วนถูกส่งขึ้นไปยังการพิจารณาของมหาเถรสมาคม แต่ในขณะเดียวกัน มหาเถรสมาคมก็ไม่อาจจะจัดการกับปัญหาทุกเรื่องได้ ทั้งจากข้อจำกัดในเรื่องเวลาในการประชุม การขาดกลไกหน่วยปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพ ขาดการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของคณะสงฆ์ รวมทั้งการที่กรรมการมหาเถรสมาคมล้วนแต่เป็นพระมหาเถระที่อยู่ในวัยชรา ปัจจัยเหล่านี้จึงมีผลให้มหาเถรสมาคม แม้จะมีอำนาจมาก แต่ก็ไม่สามารถตอบสนองปัญหาต่างๆ ได้อย่างทันท่วงทีและอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่เจ้าคณะผู้ปกครองเป็นเพียงผู้เสนอเรื่องและรอฟังคำสั่งจากมหาเถรสมาคมเท่านั้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเช่นการจัดการแก้ไขปัญหากรณีที่พระภิกษุประพฤติไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ซึ่งเกิดขึ้นเนืองๆ
นอกจากความล่าช้าและประสิทธิภาพการทำงาน การรวมศูนย์อำนาจในการปกครองยังนำไปสู่การสร้างระบบอุปถัมภ์ในวงการปกครองคณะสงฆ์ ดังมีคำกล่าวกันหนาหูว่าการเลื่อนสมณศักดิ์แต่ละครั้ง มีการใช้ลาภสักการะต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของวัดบางวัด หรือพระภิกษุบางรูป ก็ปรากฏชัดเจนว่าได้รับการปกป้องจากพระเถระผู้เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมเสียเอง ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว
กล่าวโดยรวม ปัญหาการปกครองคณะสงฆ์เป็นปัญหาเชิงระบบ ดังนั้น ไม่ว่าบุคคลที่เข้ามาดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชจะเป็นพระดีเพียงใดก็ตาม ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และระบบนี้ก็ใช้มานานโดยแทบจะไม่มีการปฏิรูป แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงในสมัยที่ใช้ พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ซึ่งมีการจัดองค์กรปกครองคณะสงฆ์ให้สอดคล้องกับฝ่ายบ้านเมืองที่เปลี่ยนแปลงสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยยกสมเด็จพระสังฆราชเป็นประมุขสงฆ์ แต่ไม่ทรงต้องมาบริหารกิจการคณะสงฆ์เอง และให้การบริหารเป็นอำนาจของสังฆนายกและคณะสังฆมนตรี โดยรับผิดชอบต่อสังฆสภา และมีคณะพระวินยาธิการทำหน้าที่ตัดสินอธิกรณ์คล้ายฝ่ายตุลาการ ระบบนี้เปิดช่องให้พระภิกษุที่มีอาวุโสไม่สูงมากนักมีโอกาสได้เข้าเป็นผู้บริหารคณะสงฆ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการประกาศใช้ พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ระบบดังกล่าวก็ถูกยกเลิกโดยกลับไปหารูปแบบเดิมก่อน พ.ศ. 2484 ซึ่งก็สะท้อนบรรยากาศการเมืองที่สังคมไทยกลับไปอยู่ภายใต้การปกครองแบบอำนาจเบ็ดเสร็จอีกครั้งหนึ่ง และเป็นรูปแบบที่ใช้มาถึงปัจจุบัน
ข้อเสนอในเบื้องต้นหากจะมีการปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์กันอย่างจริงจัง ก็คือ ควรนำข้อดีของการปกครองคณะสงฆ์ตาม พ.ร.บ. ปี 2484 กลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง โดยให้สมเด็จพระสังฆราชไม่ต้องทรงรับภาระการบัญชาการคณะสงฆ์ด้วยพระองค์เอง เพื่อให้ทรงดำรงฐานะประมุขสงฆ์อันเป็นที่เคารพสักการะโดยแท้จริง ส่วนภาระในการบริหารให้เป็นหน้าที่ขององค์กรสงฆ์ระดับล่างลงมา โดยควรคำนึงถึงการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมในการบริหารคณะสงฆ์ของพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงด้วย เพื่อให้เป็นไปตามพุทธานุญาตที่ทรงมอบให้สงฆ์ปกครองกันเอง นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงการเพิ่มบทบาทของฆราวาสที่จะร่วมในการบริหารกิจการของพระพุทธศาสนาให้มากขึ้น ทั้งในการอุปถัมภ์บำรุงกิจการของพระศาสนาและการตรวจสอบระหว่างกันด้วย
อนึ่ง การจัดการเรื่องศาสนสมบัติก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญ ดังที่ทราบกันดีว่าวัดในประเทศไทยมีทรัพย์สินรวมกันเป็นมูลค่ามหาศาล แต่ยังขาดประสิทธิภาพในการจัดการ ทั้งในแง่การนำมาใช้ประโยชน์ในกิจการของพระศาสนาโดยรวม โดยกระจายไปยังวัดที่มีความขาดแคลน การนำมาใช้เพื่อส่งเสริมการศึกษาของพระภิกษุสามเณร การดูแลความเป็นอยู่ของพระภิกษุสงฆ์โดยรวม รวมทั้งการส่งเสริมภารกิจต่อสังคม เช่น การสังคมสงเคราะห์ต่างๆ ซึ่งหากมีการจัดการอย่างเหมาะสม เชื่อว่าสถาบันพระพุทธศาสนาจะกลับมามีบทบาทสำคัญต่อสังคมไทย ทั้งในด้านการพัฒนาวัตถุและการพัฒนาจิตใจอีกครั้งหนึ่ง เฉกเช่นในอดีตที่ผ่านมา
--------------------------
ธีรวัฒน์ ขวัญใจ
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์







