จากการมองฝรั่งตั้งชื่อหนังสือว่า “เศรษฐกิจพอเพียง”

ในบทความเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมอ้างถึงหนังสือชื่อ Sufficiency Economy คำนี้ไม่มีในศัพท์เศรษฐกิจของฝรั่ง
จนกระทั่งหลังปี 2540 เมื่อคนไทยเริ่มใช้เป็นคำแปลของ “เศรษฐกิจพอเพียง” คนไทยส่วนใหญ่ได้ยินคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นครั้งแรกในคืนวันที่ 4 ธันวาคม 2540 เมื่อในหลวงฯทรงตรัสว่า ชาวไทยควรใช้เศรษฐกิจพอเพียงแก้วิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งเมืองไทยกำลังเผชิญอยู่ในตอนนั้น
หลังเวลาผ่านไปเกือบ 20 ปี และมีการพูดถึงกันอย่างต่อเนื่อง คนไทยโดยทั่วไปยังไม่เข้าใจในความกว้างและลุ่มลึกของแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ความพยายามทำความเข้าใจมักจำกัดอยู่ในมิติปรัชญา ที่สรุปว่าแนวคิดมีองค์ประกอบ 5 ด้าน นั่นคือ คุณธรรม ความรู้ ความมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกันและการมีความพอประมาณ ส่วนทางมิติเศรษฐกิจมักคิดกันว่า เป็นเรื่องของเกษตรกรรมโดยเฉพาะการทำตามแนวทฤษฎีใหม่อันเป็นการทำไร่นาสวนผสม ฝ่ายรัฐบาลก็มักพูดเสมอว่า จะใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงพัฒนาประเทศ แต่ใช้อย่างไรยังไม่เป็นที่ประจักษ์ นอกจากนั้น รัฐบาลยังนำไปเสนอให้ฝรั่งใช้อีกด้วยแต่ฝรั่งยังไม่สนใจ
เมื่อจู่ๆ ก็เห็นฝรั่งตั้งชื่อหนังสือตามคำแปลของแนวคิดนั้น ผมจึงรีบสั่งซื้อมาอ่านทันที ขอนำบางอย่างมาปันในวันนี้ โอกาสหน้าจะนำปันเพิ่ม
ผู้เขียนหนังสือเป็นชาวออสเตรเลียชื่อ Samuel Alexander หนังสือเล่มที่ชื่อ Sufficiency Economy นั้น เป็นหนึ่งใน 2 เล่มซึ่งรวมบทความที่เขาพิมพ์ไว้ในวาระต่างๆ อีกเล่มหนึ่งชื่อ Prosperous Descent เนื้อหาของทั้ง 2 เล่มประกอบด้วยบทความ 24 บท ซึ่งมุ่งเน้นประเด็นที่เกี่ยวกับจุดยืนของผู้เขียน นั่นคือ โลกใบนี้ไม่มีทรัพยากรเพียงพอสำหรับให้มนุษย์ใช้กันเกินไปถึงในระดับที่ประเทศก้าวหน้าทั้งหลายกำลังใช้อยู่ หากเราพยายามใช้ในระดับนั้นต่อไป ธรรมชาติจะบังคับให้เราลดการใช้ลงด้วยมาตรการรุนแรง ฉะนั้น เราควรลดการใช้ลงด้วยความสมัครใจ
หนังสือออกวางตลาดเมื่อตอนก่อนสิ้นปี 2558 ซึ่งเป็นช่วงหลังเวลาที่ผมค้นคว้าหาข้อมูลสำหรับเขียนหนังสือเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงอีกเล่มหนึ่ง ก่อนที่ผมจะสรุปเนื้อหาของหนังสือเล่มใหม่ ผมได้เข้าไปค้นคว้าหาข้อมูลอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าฝรั่งนำแนวคิดไปใช้บ้างแล้วหรือยัง จึงพบว่าฝรั่งได้ตั้งชื่อหนังสือดังกล่าว ผมเห็นด้วยกับจุดยืนของผู้เขียน แต่รู้สึกผิดหวังที่เขามิได้ตั้งใจจะเขียนเรื่อง Sufficiency Economy ดังที่ผมคาดหากนำคำนั้นมาใช้เมื่อรวมบทความเป็นหนังสือโดยเปลี่ยนชื่อรายงานเรื่อง Simplicity Institute Report ซึ่งเขาเขียนเมื่อปี 2555 เป็น Sufficiency Economy เขาบอกว่าบทความบทนี้เป็นบทเอกเขาจึงตั้งชื่อหนังสือตามชื่อนั้น
ในบรรดาบทความที่เขานำมารวมไว้ในหนังสือ 2 เล่ม เพียง 3 บทเท่านั้นที่มีคำว่า Sufficiency ปรากฏในชื่อ ส่วนในบทเอกนั้น เขาอ้างถึงเอกสารที่ใช้ Sufficiency Economy เป็นส่วนหนึ่งของชื่อเพียงฉบับเดียวคือ “Suwankitti, W. and Pongquan, S. Enhancement of rural livelihoods in Thailand; An application o sufficiency economy approach in community development.Saarbrucken: Lambert Academic Publishing.”
นอกจากจะใช้ Sufficiency Economy ในมิติเศรษฐกิจเพียงมิติเดียวแล้ว ผู้เขียนยังจำกัดการใช้ให้อยู่ในวงของประเทศก้าวหน้าเท่านั้นอีกด้วย ทั้งนี้เพราะเขามองว่าประเทศก้าวหน้าใช้ทรัพยากรเกินไปมาก จึงจำเป็นต้องลดเหตุผลของเขาไม่ผิด แต่ผมมองว่าในประเทศกำลังพัฒนาก็มีคนกลุ่มใหญ่ที่ใช้ทรัพยากรมากเกิน กลุ่มนี้มีจำนวนมากกว่าประชากรของประเทศก้าวหน้าเสียอีก พวกเขาต้องลดการใช้ทรัพยากรลงด้วยเช่นกัน มิฉะนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุเป้าหมายของการใช้ทรัพยากร เพื่อให้ทุกคนดำเนินชีวิตอยู่ได้ในกรอบของแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืน
จากมุมมองของผู้เขียน ทางไปสู่เป้าหมายได้แก่การดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย (Simplicity) คำนี้เขาใช้เป็นชื่อองค์กรที่เขาตั้งขึ้น (Simplicity Institute) และอ้างถึงบ่อยๆ ตลอดหนังสือทั้ง 2 เล่มเขายอมรับว่า แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกว้างมากซึ่งจะต้องศึกษากันต่อไป ในบทความ เขาพูดถึงตัวอย่างซึ่งเป็นภาพในจินตนาการเกี่ยวกับสังคมเมืองในประเทศก้าวหน้าว่าจะเป็นอย่างไรในด้านการใช้น้ำ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย พลังงาน การขนส่ง งานการผลิต เงิน ตลาดและการแลกเปลี่ยน ผู้เขียนมองว่าแต่ละด้านเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งถ้าจะพูดกันจริงๆ ต้องใช้พื้นที่เป็นหนังสือทั้งเล่ม
โดยสรุป การดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายต้องเกิดจากการลดการใช้ทรัพยากรลงให้เหลือแค่ระดับเพื่อสนองความจำเป็นเท่านั้น นั่นจะเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบถึงรากเหง้า อาทิเช่น ทำความสะอาดร่างกายโดยใช้ถังน้ำ ใช้ส้วมแบบเก็บปัสสาวะและอุจจาระไว้ทำปุ๋ย เปลี่ยนสนามหญ้าและที่ว่างทุกตารางนิ้วเป็นพื้นที่ผลิตอาหารอินทรีย์ ใช้เครื่องนุ่มห่มเพียงเพื่อปกปิดร่างกายและให้ร่างกายอบอุ่นเท่านั้น โดยไม่ใช้เครื่องประดับ ปรับเปลี่ยนที่อยู่อาศัยให้เล็กลงเหลือเท่าที่จำเป็น ลดการใช้พลังงานโดยการงดขับรถไปไหนไกลๆ ไม่รับประทานอาหารที่ต้องขนมาจากต่างถิ่นและลดใช้ไฟฟ้าที่ผลิตมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เปลี่ยนการทำงานในสำนักงานเป็นการผลิตอาหารและเครื่องใช้ในครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ และอาจเลิกใช้เงินและธนาคาร
การเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบถึงรากเหง้าดังกล่าว มีโอกาสเป็นไปได้แค่ไหนผู้เขียนไม่ให้ความหวังมากนัก นอกจากจะเสนอว่ามีกลุ่มเคลื่อนไหวจำนวนมากที่พยายามทำกันอยู่ การเปลี่ยนแบบนั้นจะเป็นการต่อสู้กับผู้ที่ได้ประโยชน์จากการดำเนินชีวิตตามแนวคิดกระแสหลัก อันได้แก่การสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เขาเห็นพ้องกับกลุ่มเหล่านั้นว่า ถ้าเราไม่เปลี่ยนการดำเนินชีวิตให้เป็นแบบเรียบง่าย โดยความสมัครใจ ธรรมชาติจะบังคับให้เราทำซึ่งจะนำไปสู่ความเสียหายขั้นร้ายแรง







