ว่าด้วยความเชื่อและความแตกแยก

เกิดมาเป็นคนไทยในช่วงนี้ พวกเราตระหนักดีว่าต่างมีความคับอกคับใจ ปัญหาสารพัดรุมเร้า บ้างครั้งทำให้เราทั้งกลืนไม่เข้า คายก็ไม่ออก
จะเอ่ยปากบอกใคร ก็ไม่แน่ใจว่าเขา "ค่ายไหน"
ปากล้วนว่า เราเคารพซึ่งความเห็นที่แตกต่าง แต่ความจริงไม่อิงนิยายกลายเป็นเจ้าความต่าง ทำให้เราห่างกันมากขึ้นๆ
ยิ่งต่าง จึงยิ่งห่าง
ยิ่งห่าง จึงดูยิ่งต่าง
จนกลายเป็นขั้ว เป็นข้าง สร้างวงจรอุบาทว์
เพราะต่าง จึงแตก
เมื่อแยกกันเด็ดขาด อีกฝั่งอย่าบังอาจเอ่ยคำใด
เพราะอย่างไรก็ไม่เชื่อ เบื่อฟัง
จะมี "เหตุ" หรือ "ผล" หรือไม่ ก็ฟันธงไว้ก่อนว่าไม่เชื่อ มิได้ขึ้นกับเนื้อหา แต่กลับขึ้นกับว่าใครเป็นผู้พูด เมื่อเป็น “เขา” ไม่ใช่พวก "เรา" เหมาเอาได้ไม่ยากไม่ต้องคิดมากว่าอย่างไรก็เป็นเท็จ เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ปราศจากข้อสงสัย
บ้านเดียวกัน องค์กรเดียวกัน ชาติเดียวกัน ก็ไม่สน เพราะเราอยู่กันคนละข้างแล้วไง
ดังนั้น ยามนี้ เราแต่ละคนจึงยิ่งต้องทำตนเป็นคนมีสติ ไตร่ตรองแยกแยะ
เพียงเพราะพวกมาก ต้องไม่ยอมถูกลากไป
หากจะไป ต้องเป็นเพราะได้ไตร่ตรองแล้วด้วยสติและปัญญา
เวลานี้ คำสอนของครูบาอาจารย์ตามหลักกาลามสูตรของพระพุทธเจ้า ช่างเข้าสมัย ช่วยให้มีสติ เพราะหากจะเชื่อสิ่งใด อย่าปลงใจเพียงเพราะ
ฟังตามๆ กันมา
ถือสืบๆ กันมา
คำเล่าลือ
อ้างตำรา
ตรรกะคิดเอาเอง
อนุมานเอา
ตรองตามเหตุผล
เข้ากันได้กับทฤษฎีของตน
มองเห็นลักษณะน่าเชื่อถือ
หรือเป็นเพียงเพราะสิ่งนั้นมาจากครูของเรา
ทั้งนี้ ยิ่งอัตตายิ่งใหญ่ ยิ่งน่ากลัว เมื่อยึดมั่นถือมั่น อย่างไรๆ ฉันก็ไม่ถอย
ลืมนึกไปว่า แม้สิ่งที่ได้ดูได้เห็นกับตาเรา บางทีก็เอาแน่ไม่ได้ จึงต้องใช้ปัญญา วิจารณญาณ และความถ่อมตน ว่าคนอื่นก็อาจถูกต้อง ห้ามมองข้าม
ดังเช่นภาพตารางหมากรุกที่เห็น
ท่านผู้อ่านลองเปรียบเทียบช่องสี่เหลี่ยม A กับช่องสี่เหลี่ยม B แล้วตัดสินใจว่า สีช่องไหนเข้มกว่ากัน
ไม่ยาก ตัดสินได้ไม่ลำบากเลยใช่ไหมคะ
ออกเห็นชัดกระจ่างเพราะสีต่างกันปานนั้น...หรือไม่
กรุณาดูเฉลยในภาพถัดไป...แล้วมาว่ากันต่อค่ะ
ปรากฏการณ์นี้ นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า Optical Illusion หรือ ภาพลวงตา ที่ทำให้ทั้งตาและสมองของเรามองเห็นภาพผิดแผก เพี้ยนแปลกไปจากความเป็นจริงโดยไม่รู้ตัว ไม่ตั้งใจ โดยมิได้พยายามหลอกตนเองแต่ประการใด
ภาพนี้ เป็นการศึกษาวิจัยของ Dr. Edward Adelson แห่งมหาวิทยาลัย MIT เพื่อทำความเข้าใจว่า ทำไมหนอเราจึงถูกหลอกได้สนิทใจโดยสมองและตาสองข้างของเราเอง
ทั้งนี้ สิ่งที่เราเชื่อว่า "เห็น" เป็นเพียงภาพที่เกิดจากการอนุมานให้โยงใยกับความเชื่อ หรือประสบการณ์ของเรา และเรื่องเก่าในอดีต ตลอดจนเกิดจากการเปรียบเทียบ คาดเดา หรือ ความคาดหวัง เนื่องจากความคุ้นเคยที่ฝังรากลึก ซึ่งนักวิจัยเรียกว่า Unconscious Inferences
ตัวอย่างง่ายๆ ในชีวิตประจำวันในที่ทำงาน มีอาทิ หากเรามีลูกน้องที่มาสายประจำ หากวันนี้มาสาย แล้วเขาแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุ รถเฉี่ยวกัน หัวหน้าคงทำเสียงรับรู้ว่า ...อ่ะจ้ะ! (ในใจใส่ให้ว่า คุณคิดว่าหลอกพี่ง่ายดายเช่นนั้นหรือ) ช่วงไหนเขาเพียรกระหืดกระหอบมาตรงเวลา ก็อนุมานว่า น่าจะผิดปกติ เดี๋ยวก็หาย กลายเป็นไม่รับผิดชอบเหมือนเดิม
การศึกษาด้านจิตวิทยาและสมองระบุว่า จากประสบการณ์ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ สมองของเราถูกสอนสั่งสมซ้ำซาก จนฝังรากลึกในหลายประเด็น เช่น เรื่อง “ธรรมชาติ” ของแสงและเงา
ดังนั้น ด้วยแสง เงา และ การเปรียบเทียบช่อง A และ B กับสิ่งรอบข้างที่มีเฉดสีอ่อนเข้มต่างกัน สมองจึงทำการคิดอัตโนมัติโดยไม่ต้อง “คิด” แบบไตร่ตรองว่า เมื่อ B อยู่ในเงามืด ดังนั้น สีที่เป็น “จริง” ควรต้องอ่อนมากกว่าที่เป็น ตาและตัวเรา เลยเออออห่อหมก แสดงอาการเห็นให้เป็นเช่นนั้นชัดๆ จัดเต็ม
สรุปว่า บริบท สิ่งแวดล้อม สี และแสงเงารอบข้าง ที่ต่างกันของทั้งสองช่อง ทำให้เรามองและ “เหมา” เอาเป็นตุเป็นตะว่า A สีเข้มกว่า B อย่างมีนัยสำคัญ และเชื่อมั่นสุดหัวใจ ว่าฉันไม่ได้เถียงข้างๆ คูๆ ก็ดูซิดู เห็นๆ กันอยู่
ทั้งๆที่ในความเป็นจริง เขาทั้งสองต่างเป็นสีเดียวกัน...เป๊ะ
ขนาดปรากฏการณ์ Optical Illusion ข้างต้น ที่เกิดอย่างมิได้ตั้งใจ ไม่ได้หวังหลอก ยังแยกแยะของจริง กับสิ่งมายา ยากขนาดนี้
หากใครมีเจตนาหลอกเรา ภาพที่สร้างให้เห็นจะหลอน ย้อนยอกได้ขนาดไหน ไม่ต้องคิด
ดังนั้น อย่าให้ใครหรือกลุ่มใด สร้างบริบทแสงเงา ให้เรามองเห็นกันจนต่าง จนห่าง จนแตก
เพราะหากแยกกันนานเข้าๆ ความต่างจะสร้างเป็นบริบท ฝังรากลึกเช่นตาและสมองมองแสงเงา แล้วเข้าใจผิด
เป็นเรื่องติดถาวรในสังคม ที่เราเองย้ำให้ลูกหลานจมในความเห็นแตกแยกเป็น 2 ฝั่ง เป็น 2 สี ทั้งๆที่ลึกๆแล้วไม่ใช่ เพราะจริงๆแล้วเราสีชาติไทยเดียวกัน
ยิ่งย้ำ ยิ่งลึก ยิ่งไม่เห็นความเป็นไปได้ ว่าใช่จริงหรือ ว่าเรานี่คือพี่น้องกัน







