โชคชะตา "สหายพลัดถิ่น"

"ลาก่อน สหายเฉิน ผิง ผู้นำอันเป็นที่รักของเรา สหายของเรา นักรบผู้กล้าหาญเพื่ออิสรเสรี"
"สหายเฉิน ผิง ได้ถึงแก่มรณกรรมอย่างสงบ เมื่อเวลา 06.20 น. ของวันที่ 16 กันยายน 2556 ณ กรุงเทพมหานคร ท่านได้จากเพื่อนร่วมชาติของประเทศเรา เพื่อนสนิทมิตรสหาย และท่านได้จากภารกิจของประชาชน ที่ท่านได้ต่อสู้มาทั้งชีวิต และมาตุภูมิที่รักยิ่งของท่าน"
"ชีวิตของท่านเป็นชีวิตแห่งการต่อสู้ และชีวิตแห่งความรุ่งโรจน์ อายุท่าน 89 ปี"
นี่เป็นบางประโยคของคำแถลงไว้อาลัยแก่ "สหายเฉิน ผิง" หรือ "จีน เป็ง" จากมิตรร่วมรบจากชายแดนใต้ ก่อนที่พวกเขาจะร่วมกันส่งดวงวิญญาณ "อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์มลายา" สู่สรวงสวรรค์ ณ ฌาปนสถานวัดธาตุทอง เมื่อเย็นย่ำวันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2556
นอกจากเพื่อนมิตรชาวคอมมิวนิสต์มลายา ก็ยังมี "ลุงดิน" ธง แจ่มศรี วัย 93 ปี อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) กับภรรยา "ป้าน้ำ" วัย 85 ปี เดินทางมาร่วมงานด้วยความรักและผูกพันกับสหายเฉิน ผิง
ส่วน "สหายวิชัย ชูธรรม" หรือ "สหายเล่าเซ้ง" เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) คนปัจจุบัน ได้เดินทางมาคารวะศพ "เฉิน ผิง" ตั้งแต่เย็นวันศุกร์ พร้อมพวงหรีดของ "พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย"
พรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เป็น "พรรคพี่น้อง" อันสนิทแนบแน่นและได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน
หลังจากลงนามยุติสงครามสามฝ่าย "ไทย-มาเลย์-พรรคคอมมิวนิสต์มลายา" กองกำลังติดอาวุธในเขตป่าเขา ก็สลายตัวกลายเป็น "ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย" เพราะฝ่ายรัฐบาลมาเลย์ ไม่ยอมรับสหาย พคม. กลับบ้านเกิด จึงมีการตั้งชุมชนใหม่อยู่ในยะลา, นราธิวาส และสงขลา
สำหรับ สหายเฉิน ผิง ก็เคยขอกลับไปตั้งถิ่นฐานที่มาเลเซียตามข้อตกลงในสัญญาสันติภาพ แต่ถูกปฏิเสธ จึงได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาล เรียกร้องให้รัฐบาลมาเลเซียปฏิบัติตามสัญญา แต่คดีมักถูกศาลโต้กลับ จึงทำให้ความหวังสุดท้ายของสหายเฉิน ผิง ที่จะขอกลับไปคารวะพ่อ-แม่และบรรพบุรุษในบ้านเกิดที่รัฐเปเระ ไม่สามารถเป็นจริงได้
จวบจนสิ้นชีวิต นาจิบ ราซัค นายกฯมาเลย์ ก็ยังสั่งห้ามนำร่างของสหายเฉิน ผิง ไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด พวกเขาจึงต้องจัดงานฌาปนกิจศพสหายนำที่วัดธาตุทอง
จะว่าไปแล้ว ชะตากรรม "สหายชาวมาเลย์" ต่างจาก "สหายชาวไทย" อย่างเทียบกันไม่ได้ พลพรรคกองทัพปลดแอกไทย ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้นโยบาย 66/2523 รัฐบาลสุรยุทธ์ และรัฐบาลอภิสิทธิ์ จ่ายเงินช่วยเหลือการประกอบอาชีพของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) ทั่วทุกภาคไปแล้วประมาณ 1 หมื่นคน คิดเป็นเงินสองพันกว่าล้านบาท
ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็จะจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยอีกจำนวน 5 พันกว่าคน
พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2556 เสนอเรื่องให้ ครม.อนุมัติงบประมาณ วงเงิน 264 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือ ผรท. ที่เป็นกลุ่มตกค้างยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ จำนวน 1,175 คน (คนละ 225,000 บาท)
สืบเนื่องสำนักงบฯ เบิกจ่ายไม่ทัน มีการยุบสภาไปก่อน รายชื่อ ผรท.ชุดดังกล่าว จึงตกค้างมาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.ประชาได้อนุมัติรายชื่อ ผรท.จำนวน 4,430 คน ซึ่งผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ จากคณะกรรมการคัดกรองระดับภาค และระดับจังหวัดตามที่ กอ.รมน. เสนอ
พร้อมกันนั้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้ตั้งงบฯ ไว้เป็นวงเงิน 996,750,000 บาท (คนละ 225,000 บาท) แต่ให้รอฟังรายชื่อเพิ่มเติมจากผู้ผ่านการอุทธรณ์รอบสอง ก่อนนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.เพื่อขออนุมัติจ่ายให้ ผรท.ต่อไป
เบ็ดเสร็จแล้ว คาดว่าจะมีการใช้เงินมากกว่า 4 พันล้านบาท(ทั้ง 3 รัฐบาล) ในการช่วยเหลือ ผรท.ตามเงื่อนไขนโยบาย 66/2523
นี่ยังไม่นับรวมการช่วยเหลือ ผรท.อีสาน ประมาณ 500 ครอบครัว ในการตั้งหมู่บ้าน 3 แห่ง ทางภาคอีสาน สมัยรัฐบาลเปรม
ไม่มีชาติไหนในโลกหรอก ที่ฝ่ายผู้ชนะไม่เอาผิดผู้พ่าย แถมยังจ่ายเงินสองแสนให้เป็นรายหัว นอกจากสยามประเทศแห่งนี้







