จิตอาสาซีพี ออลล์ - พนง.เซเว่นฯรวมพลัง

สนับสนุนเครื่องมือแพทย์ – ยา รพ.อุ้มผาง
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซีพี ออลล์ ได้สนับสนุนส่งเสริมให้พนักงานเซเว่นฯ และบริษัทในกลุ่มมีจิตอาสาร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือชุมชนและสังคมอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านการศึกษาการพัฒนาเยาวชน สิ่งแวดล้อม ศาสนา และสาธารณประโยชน์ ล่าสุดเดินทางลงพื้นที่ชายแดนไทย มุ่งสู่โรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองถึงกว่า 1,219 โค้ง เป็นโรงพยาบาลที่อยู่ในแนวตะเข็บชายแดน ที่การเดินทางค่อนข้างยากลำบากแม้จะเป็นถนนลาดยาง แต่ก็ต้องใช้เวลาในการเดินทางไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง จากตัวอำเภอแม่สอด
พนักงานสำนักปฏิบัติการมณฑลพื้นที่ภาคกลางของเซเว่นฯ จึงมีแนวคิดที่จะตอบแทนสังคมและชุมชน โดยร่วมกับพนักงานชมรมจิตอาสา ซีพี ออลล์ และ พนักงานเซเว่นฯพื้นที่ภาคกลาง และเอ็กซ์ต้าพลัสร้านยาเพื่อสุขภาพในชุมชน ของซีพี ออลล์ ระดมเงินสนับสนุนทางการแพทย์ พร้อมด้วยยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งน้องๆ พนักงานเซเว่น อีเลฟเว่น ได้รวบรวมและสมทบเงินบริจาคร่วมกันกว่า 400,000 บาท มอบให้กับโรงพยาบาลอุ้มผาง เพื่อให้ทางโรงพยาบาลนำเงินพร้อมยาและเวชภัณฑ์ดังกล่าว ไปใช้ในการรักษาคนผู้ป่วยในพื้นที่ให้มีสุขภาพที่ดี
นายธานินทร์ บูรณมานิต กรรมการผู้จัดการเเละประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น กล่าวในฐานะประธานผู้ก่อตั้งชมรมจิตอาสาซีพี ออลล์ ว่า องค์กรส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในการเข้าไปร่วมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับคนในสังคมและชุมชน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง และด้วยการสนับสนุนต่อเนื่องทำให้องค์กรมีพนักงานจิตอาสา ร่วมทำกิจกรรมดีๆ ในหลายพื้นที่ ทั่วประเทศ โดยบริษัทยึดหลักการที่ว่า ถ้าเราปลูกฝังให้ทุกคนมีจิตใจที่ดี มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อาทรสังคม องค์กรก็จะดีด้วย สังคมก็ดีขึ้น เกิดความผูกพันร่วมกันระหว่างพนักงาน ชุมชนและสังคม
“ปัจจุบันเรามีการจ้างงานมากกว่า 150,000 คน ถ้าเรามีพนักงานจิตใจดีให้มากๆ มีจิตอาสาเยอะๆ องค์กรจะมีแต่คนคิดดี ทำดี และไปทำสิ่งต่างๆ เพื่อพัฒาคุณภาพชีวิตร่วมกับสังคม ต่อไปสังคมไทยก็จะยิ่งน่ายิ่งขึ้น” นายธานินทร์ กล่าว
ด้าน นายแพทย์วรวิทย์ ตันติวัฒนวิทย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง จังหวัดตาก กล่าวขอบคุณซีพี ออลล์ ที่เห็นปัญหาและอุปสรรคของการให้บริการของโรงพยาบาล และนำสิ่งของมามอบให้ พร้อมกับเล่าว่า อำเภออุ้มผาง ตั้งอยู่ในเขตชายแดนไทย-เมียนมาร์ มีชาวบ้านดั่งเดิมอาศัยอยู่มานาน เช่น คนกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่มานานมาก แต่มักจะอาศัยอยู่ในป่า ขณะที่คนไทยในพื้นราบ ก็เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในตัวอำเภออุ้มผางเมื่อ 60-70 ปีก่อนหน้านี้เท่านั้น ประกอบกับโรงพยาบาลอุ้มผางเองเพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2527 จึงคิดว่า คนในพื้นที่ไม่ได้อยู่ไกลจากโรงพยาบาล แต่โรงพยาบาลต่างหาก ที่ตั้งอยู่ไกลจากชุมชน เพราะเรามาตั้งทีหลังชุมชน
โรงพยาบาลจึงประสบปัญหาในหลายๆ ด้าน เช่น เรื่องการเดินทางมารักษาพยาบาลของคนไข้ การดูแลรักษาคนไข้ได้ไม่ต่อเนื่อง การเข้าไปช่วยเหลือคนไข้ไม่ทันเวลา ปัญหาเรื่องสัญชาติ ปัญหาเรื่องสิทธิพยาบาล ก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข แต่นั่นคือแนวทางของกฎหมาย
ส่วนทางการแพทย์แล้ว โรงพยาบาลของเราจะไม่ปฏิเสธคนไข้ ไม่ว่าจะมีสัญชาติไทยหรือไม่ เพราะหากมองในแง่ด้านมนุษยธรรม โรงพยาบาลต้องทำหน้าที่ทางการแพทย์ และทำหน้าที่สกัดเชื้อโรคต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เข้าไปในเมือง เช่น ตอนนี้โรควัณโรคกำลังกลับมาอีกครั้ง ซึ่งอาการของโรคนี้ค่อนข้างติดกันได้อย่างง่ายดายทางลมหายใจ หากเราอยู่ใกล้คนไข้ เราอาจได้รับเชื้อโรคได้ ที่ผ่านมาประเทศไทยแทบไม่พบโรคนี้มานานแล้ว
“โรงพยาบาลอุ้มผาง เป็นโรงพยาบาลตามแนวตะเข็บชายแดน จึงจำเป็นต้องรักษาคนไข้เพื่อป้องกันการระบาดของโรค ไม่ว่าจะเป็นคนไทย กะเหรี่ยง ลาว มอญ เราต้องดูแลรักษาเป็นอย่างดี นี่คือปัญหาหนึ่งที่พบเจอ แต่โรงพยาบาลยังพบปัญหาสำคัญ คือ ปัญหาการขาดแคลนยารักษาโรค เพราะเรารับรักษาคนไข้จำนวนมาก ทำให้ยารักษาโรคมีจำนวนไม่เพียงพอ”
ที่ผ่านมาเราได้รับบริจาคยาเหลือใช้ที่ยังไม่หมดอายุ ซึ่งยาเหล่านั้นยังมีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนไข้ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ณ วันนี้เราก็ยังรับบริจาคอย่างต่อเนื่อง หากประชาชนทั่วไปมียาที่ไม่ได้กินและยังไม่หมดอายุ ซึ่งเป็นยาเหลือทิ้งแล้ว สามารถนำมาบริจาคและส่งมาให้ที่โรงพยาบาลอุ้มผางได้ การเดินทางที่ยากลำบากอาจทำให้ผู้บริจาคไม่สะดวกเดินทางมาบริจาค เราแนะนำให้ส่งพัสดุมาที่ นายแพทย์วรวิทย์ ตันติวัฒนวิทย์ เลขที่ 159 โรงพยาบาลอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก 63170 โดยเขียนระบุว่าเป็นของบริจาคด้วย เพื่อง่ายแก่การบริหารจัดการพัสดุบริจาคต่อไป นายแพทย์วรวิทย์กล่าวทิ้งท้าย












