“What makes us human?” ถอดบทเรียนจากชุมชนเล็กๆ สู่มุมคิดใหม่ในการรับมือสู้โควิด-19

เชื่อว่าในเวลานี้ เรื่องที่หลายคนตั้งคำถามคือเราจะผ่านพ้นวิกฤตจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่กำลังแพร่ขยายไปทั่วโลกนี้ไปได้หรือไม่ และอย่างไร? รวมถึงอีกหลายเสียงในหัวใจอาจกำลังทดท้อในใจว่าแล้วเมื่อไหร่มันจะจบ?
ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 25 ปีก่อน ที่จังหวัดพะเยาเคยต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อเอชวีอย่างรุนแรงถึงร้อยละ 20 สถานการณ์เวลานั้นไม่ต่างกับวิกฤตในวันนี้ คือผู้ป่วยไม่สามารถเข้าถึงการรักษาและไม่มียาต้านไวรัส
แต่สิ่งที่ทำให้ นายแพทย์ฌอง-หลุยส์ ลองโบเรย์ ผู้เชี่ยวชาญประจำโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) ในขณะนั้น ซึ่งเคยมีประสบการณ์ทำงานกับพื้นที่ต้องรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเขาพบว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อเอชไอวีในพื้นที่แห่งนี้กลับลดลงเหลือเพียงร้อยละ 8 และลดลงต่อเนื่องด้วยระยะเวลาเพียงสิบปีกว่าให้หลัง
ความแปลกใจดังกล่าวได้จุดประกายให้ นพ.ลองโบเรย์ผู้นี้ ตัดสินใจกลับมาลงพื้นที่จังหวัดพะเยาอีกเพื่อหาคำตอบในเรื่องนี้ และอยากเรียนรู้ทำความเข้าใจถึงสาเหตุและ “เคล็ดลับ” ที่ชุมชนเล็กๆ ที่ภาคเหนือของประเทศไทยนี้นำมาใช้ จนสามารถทำให้การแพร่กระจายเชื้อเอชไอวี ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
เพราะอยากให้บทเรียนจากพะเยาไปสู่ชุมชนทั่วโลก
เขาเอ่ยว่า พะเยาเป็นชุมชนแห่งเดียวในโลกที่ใช้เวลาเพียง 14 ปี ก็สามารถจัดการให้มีผู้ติดเชื้อในชุมชนลดลงเหลือแทบจะเป็นศูนย์ ที่สำคัญโดยไม่ต้องใช้เงินทุนหรืองบประมาณจำนวนมาก
ซึ่งหลังถอดบทเรียนออกมา นพ.ลองโบเรย์ ได้พบกับคีย์เวิร์ดสำคัญนั่นคือ เกิดจากการที่ชุมชนแห่งนี้ต่างใช้วิธีการสร้างจิตสำนึกให้สมาชิกชุมชนทุกคนตระหนักถึงความเป็นเจ้าของปัญหาและจัดการปัญหานั้นด้วยตัวเอง
“ชุมชนต้องร่วมกันจัดการปัญหาโดยชุมชนเอง ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง” พ.ลองโบเรย์กล่าว
บันไดขั้นสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ คือการที่ชุมชนสามารถทำให้สมาชิกเปลี่ยนมุมมองตนเอง ที่ไม่มอง “ปัญหา” เป็นอุปสรรค แต่เป็นการเปลี่ยนมุมมองในการมองทุกคนอย่างมีคุณค่า นั่นคือการเห็นคนเป็นคน ไม่ตัดสิน และเชื่อในศักยภาพของคนทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนที่เจ็บป่วย หรือคนทั่วไป
“การมีทัศนคติการมองแบบใหม่จะทำให้เราเห็นผู้คนแตกต่างไปสถานการณ์แท้จริง ซึ่งจะนำไปสู่กระบวนการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนลุกขึ้นมาร่วมมือกัน และหนุนเสริมให้การบริการสุขภาพที่รัฐจัดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หากชุมชนมีส่วนร่วม
กระบวนการดังกล่าวไม่เพียงเกิดผลสำเร็จในแง่การหยุดแพร่กระจายโรคเอดส์ แต่ยังช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมโดยรอบได้จริง
จากบทเรียนที่ได้รับจากชุมชนเล็กๆ นพ.ลองโบเรย์ได้ถอดรหัส และประสงค์ใจอยากให้บทเรียนจากพะเยาได้รับการถ่ายอดไปสู่ชุมชนทั่วโลก ซึ่งจะสามารถกลายเป็นอีกอาวุธของคนทำงานด้านสาธารณสุขที่ทรงพลังท ซึ่งสามารถขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
“SALT” เป็นกระบวนการที่ ดร.ลองโบเรย์ และ Constellation ประยุกต์นำมาจากโมเดลการทำงานชุมชนในจังหวัดพะเยาครั้งนี้ มาถ่ายทอดผ่านหนังสือ “What makes us human?” ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยว่า “สิ่งใดเล่าทำให้เราเป็นมนุษย์” ของสำนักพิมพ์ SOOK Publishing
“SALT เป็นแนวทางการใช้ชีวิต ไม่ใช่วิธีการ เครื่องมือ ที่สำคัญจะต้องมีความสอดคล้องกับการใช้ชีวิตของคนในชุมชน ต้องเริ่มจากความเชื่อใจ ไม่ใช่การควบคุม ทุกคนมีบทบาทเท่ากัน ไม่มีลำดับขั้น ทุกคนสามารถเป็นอะไรก็ได้ ไม่ยึดติดว่าใครต้องมีบทบาทหรือหน้าที่ใดเท่านั้น อย่างเช่น ฝ่ายบัญชีก็สามารถเป็นกระบวนกรได้เหมือนกัน”
SALT นั้นประกอบด้วย
S ได้แก่ Support การสนับสนุน และ Stimulate การกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ
A ได้แก่ Appreciate การชื่นชม Action การลงมือปฏิบัติ และ Analyse การรู้จักวิเคราะห์
L คือ Learning การเรียนรู้ และ Link การสร้างความเชื่อมโยง
และ T มาจาก Team ทีม และ Transform การเปลี่ยนแปลง รวมถึง Transfer การถ่ายทอด
โดยกระบวนการนี้ ต้องยึดหลักความเป็นมนุษย์ เห็นคุณค่าของชีวิตแลกเปลี่ยนและทบทวนวิถีการใช้ชีวิตของตนเอง ชุมชนและครอบครัว สร้างกระบวนการเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน
ซึ่ง นพ.ลองโบเรย์ยังมองว่า แนวคิดดังกล่าวสามารถนำมาปรับใช้แก้ไขปัญหาสถานการณ์ต่างๆ ได้ในทุกเรื่อง รวมทั้งในปัจจุบัน ที่เรากำลังเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด -19 ในขณะนี้ โดยแนะนำให้พัฒนากระบวนการเช่นเดียวกับที่ประเทศไทยเคยเปลี่ยนจากการใช้ความกลัวมาเป็นความห่วงใยผู้ป่วยเอชไอวี
“เราต้องเปลี่ยนความกลัว ให้เป็นการดูแลกันและกัน”
นพ.ลองโบเรย์เอ่ยต่อว่า การรับมือกับสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิดเหมาะสมที่สุด ต้องขึ้นอยู่กับทัศนคติของคนในประเทศ ภาครัฐหรือภาคนโยบายควรสร้างความรู้สึกการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อให้เดินหน้าไปด้วยกัน
โดยยกตัวอย่างกรณีของประเทศสิงคโปร์ และไต้หวันที่สามารถยับยั้งจำนวนผู้ติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนหนึ่งเพราะทั้งรัฐบาลและประชาชนของประเทศเหล่านี้ต่างตระหนักและเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนเอง และขับเคลื่อนมาตรการร่วมกัน
“เราต้องเริ่มที่ตัวเราเองทุกคน ที่ตระหนักว่า ต้องดูแลจัดการกับตนเอง สร้างมาตรการการดูแลตนเองไม่ให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ซึ่งไม่ใช่แค่เพื่อตัวเรา แต่เพื่อคนอื่น และสังคมด้วย” นพ.ลองโบเรย์เอ่ย
พร้อมเอ่ยต่อว่า แนวคิดดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ ต้องทำให้ประชาชนเข้าใจและรับรู้ปัญหาที่กำลังเผชิญแท้จริงว่าเป็นอย่างไร ต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกัน (รัฐและประชาชน) เพื่อให้เกิดการยอมรับและร่วมมือ ไม่มีคำว่า เราและเขา ผู้กำหนดนโยบายเองควรเชื่อมั่นในศักยภาพของประชาชน และมีหน้าที่ในการให้ความรู้ เพื่อให้ทุกคนทรานส์ฟอร์มตัวเองเป็นพลังร่วมกันขับเคลื่อน เริ่มจากการพัฒนาการรู้จักชื่นชมความเข้มแข็งของกันและกัน
“ในระดับผู้กำหนดนโยบาย แต่เดิมเรามักมองเสมอว่าเขาคือผู้มีหน้าที่ขับเคลื่อน และเราเป็นผู้รอรับเป็นแค่กลุ่มเป้าหมาย หรือผู้รับนโยบาย แต่เราควรเริ่มจากมองมุมใหม่ว่าเราเองมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงสังคมของเราเหมือนกัน” นพ.ลองโบเรย์ กล่าว
“สิ่งสำคัญคือคนทำงานด้านสุขภาพ ประชาชน ภาคนโยบายต้องมีความสอดคล้องเป็นเอกภาพ ในระดับชุมชนซึ่งอยู่ใกล้ตัวเราที่สุด ไม่ควรมองว่าใครเป็นหัวหน้าหรือผู้บัญชาเรา และมองว่าตนเองมีหน้าที่แค่รอรับหรือปฏิบัติตาม แต่ควรมองว่าทุกคนเป็นเพื่อนบ้าน”
โดยแนะนำว่า วันนี้ทุกคนต้องมองเป้าหมายเดียวกันว่าเราต้องการที่จะไม่ตายด้วยโควิด แล้วเราควรจะทำอย่างไร และเรากับชุมชนควรปฏิบัติอย่างไรร่วมกัน โดยเราจะสามารถเสริมสมรรถภาพการป้องกันโรคอย่างไรให้กับชุมชน สังคมของเราได้บ้าง ซึ่งก็คือหมายถึงประเทศด้วย
ส่วนในระดับสังคม ชุมชนต้องสามารถประเมินศักยภาพในการป้องกันตัวเอง มองเป้าหมายร่วมกันว่า ตอนนี้เราอยู่ในสถานการณ์เช่นไหน มีเป้าหมายร่วมกัน
ดร.ลองโบเรย์ ยังแนะนำเครื่องมือที่ช่วยประเมินตนเองโดยการจัดทำเช็คลิสต์ว่า เราสามารถปฏิบัติตนตามมาตรการการป้องกันได้ดีแค่ไหน อยู่ในระดับใด ดีแล้วหรือยังต้องปรับปรุง
“ลองตั้งคำถามเหล่านี้ว่าเราทำได้หรือไม่ ทำได้ดีแค่ไหน เช่น เราจะแตะหน้าเราเฉพาะตอนล้างหน้าเท่านั้น เราจะไม่แตะต้องตัวกัน เราต้องล้างมือก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง ให้หมั่นสังเกตพฤติกรรมตัวเอง ว่าเราสามารถปฏิบัติตามได้อย่างดี ในระดับมาจากจิตสำนึกแล้วหรือยัง เพราะจะทำให้เราสามารถปฏิบัติได้เองเป็นธรรมชาติ หรือยังไม่ดีพอก็ต้องปรับปรุง”
จากประสบการณ์ที่ได้ในครั้งนั้น ยังทำให้นพ.ลองโบเรย์ เปลี่ยนมุมมองการทำงานของตัวเองอีกด้วย โดยเขาได้เปลี่ยนบทบาทจากผู้เชี่ยวชาญที่มักมุ่งเน้นแต่การเข้าไปสั่งหรือสอนชุมชน ซึ่งเสมือนเป็นเครื่องขยายเสียง (Boardcast) มาเป็นเครื่องบันทึกเสียง (Recorder) ที่มีหน้าที่รับฟังทุกเสียงที่เท่ากันของทุกคน เขาบอกว่าการรับฟัง ทำให้ทั้งผู้ฟัง และผู้รับฟังต่างได้และรับแรงบันดาลใจ แรงกระตุ้น และเรียนรู้กันและกัน
“ผมได้เรียนรู้ว่า คนเรามักสั่งสอน สั่งให้ทำอย่างนู้นนี้ เป็นเรื่องยากที่จะได้รับความร่วมมือหรือประสบความสำเร็จ ถ้าคุณไม่เริ่มจากฟังคนอื่นโดยเริ่มจากความคิด มุมมองว่าทุกคน เท่ากัน”
ผศ.นพ.ภูดิท เตชาติวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล เสริมว่าการสาธารณสุขพื้นฐานไม่ใช่เครื่องมือ แต่เป็นทั้งกลยุทธ์ ปรัชญา และเป้าหมายที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งต้องมีองค์ประกอบสามด้าน คือ การบริการ เน้นบริการสุขภาพปฐมภูมิที่บูรณาการร่วมกันโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง สอง การมีส่วนร่วมระหว่างชุมชน ประชาชนในนโยบายสาธารณะ และสาม การหนุนเสริมให้ชุมชนมีพลังและความสามารถในการดูแลสุขภาพตัวเอง และยังสามารถดูแลเพื่อนบ้านในชุมชน
“หนังสือเล่มนี้สอดคล้องจากสาธารณสุขพื้นฐาน ที่เกิดจากชุมชนไทย และนำไปพัฒนาเป็นระบบเพื่อให้ประเทศต่างๆ เรียนรู้ ซึ่งเป็นเรื่องของการสร้างความรัก เช่นเดียวกับ การต่อสู้กับโควิด ถ้าเรามีแต่ความกลัว สังคมเราจะแย่ลง และกีดกันคน ในที่สุดวันหนึ่งเราอาจต้องเป็นเหยื่อ แต่ถ้าเราใช้ความรัก เราจะมีสติที่จะรู้ว่าทำอะไร ซึ่งเราอาจเริ่มได้ง่ายๆ ด้วยแนวคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้”
เช่นเดียวกับ เบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. กล่าวถึงหนังสือ “What makes us human?” ว่าทุกคนสามารถศึกษา เรียนรู้และนำกระบวนการ SALT มาปรับใช้ เพื่อแก้ปัญหา มีส่วนร่วมในระบบสุขภาพ กระตุ้นและเชื่อมประสานการร่วมมือแก้ไขปัญหาในทุกสถานการณ์ รวมถึงปัญหาสาธารณสุขและสุขภาวะมิติอื่น ๆ และการรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 19 ทั่วโลกในขณะนี้ได้ โดยหากเราได้เรียนรู้จากบทเรียน เข้าใจ ตระหนักรู้และมีสติ เราจะพร้อมรับมือกับสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น จะช่วยให้ทั้งรัฐบาลและชุมชนสามารถรับมือกับวิกฤติโควิด-19 และแก้ปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“What makes us human?” จึงอาจเป็นบทเรียนจากชุมชนเล็กๆ สู่อีกหนึ่งทางออกในวันที่ต้องเผชิญโควิด-19 ในวันนี้











