Rethink & Rebuild: ปรับกลยุทธ์การลงทุนในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงเร็ว เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

กลยุทธ์การลงทุนแบบเดิมที่เน้นแต่ตลาดหุ้นไทยอาจไม่ตอบโจทย์การเติบโตอย่างยั่งยืนอีกต่อไป เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำและตลาดขาดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
KEY
POINTS
- กลยุทธ์การลงทุนแบบเดิมที่เน้นแต่ตลาดหุ้นไทยอาจไม่ตอบโจทย์การเติบโตอย่างยั่งยืนอีกต่อไป เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำและตลาดขาดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
- นักลงทุนควรทบทวนและปรับกลยุทธ์โดยการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้พอร์ตเติบโตไปพร้อมกับนวัตกรรมและเศรษฐกิจโลก
- แนะนำให้ใช้กลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงและการเติบโตในระยะยาว
- สร้างแกนหลักของพอร์ต (Core Portfolio) ประมาณ 50-60% โดยลงทุนในสินทรัพย์มั่นคง เช่น หุ้นขนาดใหญ่ทั่วโลกหรือในสหรัฐฯ ผ่านกองทุนหรือ ETF เพื่อลดความผันผวน
- เสริมการเติบโตด้วยพอร์ตส่วนเสริม (Satellite Portfolio) โดยเลือกลงทุนในธีมที่มีศักยภาพสูง เช่น หุ้นรายประเทศ (สหรัฐฯ, จีน, เวียดนาม) หรือรายอุตสาหกรรม (AI, เซมิคอนดักเตอร์, Healthcare)
- การจัดสรรพอร์ตลักษณะนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในประเทศ และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีถือเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ในทุกมิติ หากย้อนกลับไปในอดีต เราเคยผ่านยุคของอินเทอร์เน็ตซึ่งเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกเข้าหากัน จากนั้นพัฒนามาสู่ยุคของสมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดีย ที่ทำให้การสื่อสาร ข้อมูลข่าวสาร และความบันเทิงถูกรวบรวมไว้ในอุปกรณ์เพียงเครื่องเดียว และในปัจจุบัน โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ซึ่งเริ่มมีบทบาทอย่างชัดเจนทั้งในชีวิตประจำวันและภาคธุรกิจ และมีแนวโน้มจะเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว
ในโลกของการลงทุน เทคโนโลยีก็เข้ามามีบทบาทไม่แพ้กัน จากเดิมที่การลงทุนอาจเข้าถึงยาก ต้องอาศัยข้อมูลจากแหล่งจำกัด ปัจจุบันนักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร เครื่องมือวิเคราะห์ และช่องทางการลงทุนได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และแอปพลิเคชันต่าง ๆ อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์การลงทุนให้เลือกหลากหลาย ครอบคลุมสินทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถออกแบบพอร์ตการลงทุนได้ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์ลงทุนมาอย่างยาวนาน มักคุ้นเคยกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรงในหุ้นรายตัว หรือการลงทุนผ่านกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี เช่น LTF และ RMF ส่งผลให้พอร์ตการลงทุนส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์ภายในประเทศ ซึ่งในอดีตอาจเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม แต่เมื่อบริบทเศรษฐกิจเปลี่ยนไป แนวทางเดิมอาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป เห็นได้จากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นขนาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา สาเหตุหลักมาจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับโครงสร้างของตลาดหุ้นไทยที่ยังพึ่งพาอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น พลังงาน ธนาคาร และค้าปลีก ซึ่งมีโอกาสเติบโตไม่สูงนัก ในขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก กลับมีสัดส่วนค่อนข้างน้อย
ข้อจำกัดดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นไทยขาดความน่าสนใจในสายตานักลงทุนต่างชาติ สะท้อนผ่านกระแสเงินทุน (Fund Flow) ที่ไหลออกอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งด้วยขนาดตลาดที่ไม่ใหญ่มาก การไหลออกของเงินทุนจึงส่งผลกระทบต่อดัชนีและผลตอบแทนค่อนข้างชัดเจน ทำให้ภาพของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน เป็นหุ้นที่มีสัดส่วนการจ่ายปันผลสูง (High Dividend Yield) เนื่องจากมูลค่าที่ปรับตัวลงมา ขณะที่แนวโน้มการเติบโตอยู่ในระดับต่ำ นี่จึงเป็นสัญญาณสำคัญที่นักลงทุนควรเริ่มทบทวนและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับโลกที่เปลี่ยนไป หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือการจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core-Satellite โดยเริ่มจากการกระจายสัดส่วนการลงทุนออกไปยังต่างประเทศ
กลุ่มแรกคือ Core Portfolio ซึ่งเป็นแกนหลักของพอร์ต คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50-60% ควรเน้นการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคง และจ่ายปันผลสูงอย่างสม่ำเสมอ หรืออาจพิจารณาตลาดหุ้นขนาดใหญ่ เช่น หุ้นทั่วโลกหรือหุ้นสหรัฐฯ ผ่านกองทุนหรือ ETF ที่มีการกระจายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม เพื่อช่วยลดความผันผวนและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว
ส่วนกลุ่มที่สองคือ Satellite Portfolio ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเสริมการเติบโตของพอร์ต โดยเลือกลงทุนในธีมหรือกลุ่มที่มีศักยภาพการเติบโตสูง อาจพิจารณาจากมุมมองรายประเทศ เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น หรือเวียดนาม หรือมุมมองรายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี AI เซมิคอนดักเตอร์ Cybersecurity หรือ Healthcare โดยแต่ละกลุ่มควรมีสัดส่วนประมาณ 10-15% เพื่อกระจายความเสี่ยงและไม่ทำให้พอร์ตผันผวนจนเกินไป
การจัดสรรพอร์ตในลักษณะนี้ช่วยให้นักลงทุนไม่ถูกจำกัดอยู่เพียงโอกาสในประเทศ แต่สามารถเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจและนวัตกรรมของโลก นอกจากนี้ การกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมยังช่วยลดความผันผวนของพอร์ต และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการลงทุนในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นปัจจุบัน







