ไขข้อสงสัย สื่อบันเทิง "ยุคสตรีมมิง" เพลงสั้น แต่หนังยาว

ไขข้อสงสัย สื่อบันเทิง "ยุคสตรีมมิง" เพลงสั้น แต่หนังยาว

กรุงเทพธุรกิจชวนสำรวจประวัติศาสตร์สื่อบันเทิง ไขข้อสงสัยทำไมความยาวของภาพยนตร์และเพลงถึงแปรผกผันกันตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ภาพยนตร์บล็อคบลัสเตอร์มีความยาวเพิ่มขึ้น จนเกือบ 3 ชั่วโมง แต่เพลงในปัจจุบันกลับมีความสั้นลง มีความยาวไม่ถึง 3 นาที

  • ยุคก่อนทศวรรษที่ 1970

ช่วงทศวรรษที่ 1930-1960 ที่เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของวงการฮอลลีวู้ด สมัยที่ยังไม่มีสื่อบันเทิงภายในบ้าน โรงภาพยนตร์จึงไปสื่อบันเทิงเพียงอย่างเดียวที่ผู้คนในสมัยนั้นหาชมได้ ผู้สร้างภาพยนตร์มีอิสระในการสร้างภาพยนตร์ที่มีความยาวได้ถึงเกือบ 4 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็น “วิมานลอย” (Gone with the Wind) (2482), “เบน เฮอร์” (Ben Hur) (2502) “ลอเรนซ์แห่งอาราเบีย” (Lawrence of Arabia

ขณะที่ เพลงในยุคก่อนทศวรรษที่ 1970 มักมีความยาวเพียงแค่ 1-2 นาทีกว่า ๆ เป็นเพราะแผ่นเสียงขนาดมาตรฐาน 7 นิ้วในยุคนั้นมีสามารถบันทึกความยาวได้หน้าละไม่เกิน 3 นาที ตั้งแต่ ยุค 50 เพลงร็อคแอนด์โรล (Rock ‘n Roll) ของเอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) และเพลงเทรดิชันนอล ป๊อป (Traditional Pop) ของ “แนท คิง โคล” (Nat King Cole) ได้รับความนิยมในช่วงนั้น

จนถึงยุค 60 ยุคเฟื่องฟูของค่ายโมทาวน์ เรคอร์ดส (Motown Records) กับแนวเพลงโซล อาร์แอนด์บี ที่เรียกว่า “โมทาวน์ ซาวน์” (Motown Sound) โดยมีเพลง “My Girl” ของ “The Temptations” เป็นเพลงที่โด่งดังที่สุดและกลายเป็นเพลงอมตะที่ทุกวันนี้ยังถูกนำมาคัฟเวอร์อยู่เรื่อย ๆ หรือแม้กระทั่งแนวเพลงป๊อปร็อคอย่าง “เดอะ บีเทิลส์” (The Beatles) ล้วนทำเพลงไม่เกิน 3 นาทีทั้งสิ้น

  • ยุคทศวรรษที่ 1970-1980

เมื่อเข้าสู่ยุค 70 มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับวงการภาพยนตร์ เมื่อวีดีโอเทป (Video Home System) หรือ วีเอชเอส (VHS) ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ผู้คนไม่ค่อยนิยมไปโรงภาพยนตร์กันมากเท่ายุคก่อน ทำให้สตูดิโอภาพยนตร์ต้องผลิตภาพยนตร์ที่สั้นพอที่จะใส่ลงในวิดีโอเทปขนาดมาตรฐาน 1 ม้วนได้ ซึ่งก็คือประมาณ 2 ชั่วโมง ส่งผลให้ความยาวเฉลี่ยของภาพยนตร์ในยุค 70-80 จะสั้นกว่ายุค 30-60 ประมาณ 10 นาที 

ส่วนวงการเพลง แผ่นเสียงมีการพัฒนาให้สามารถบันทึกเสียงได้นานมากกว่าเดิม จนกลายเป็นแผ่นเสียงไวนิล ซึ่งเรียกตามไวนิลวัสดุที่ใช้ผลิตแผ่นเสียงในขนาด 10 นิ้ว และ 12 นิ้ว สามารถบันทึกเสียงได้ประมาณ 20 นาทีต่อหนึ่งหน้า ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในยุค 70 ยุคของดิสโก ต่อเนื่องมาจนถึงยุค 80 แนวเพลง ซินธ์ป๊อป (Synthpop) และ นิวเวฟ (New Wave) ที่มีเสียงคีย์บอร์ดอิเล็กทรอนิกส์เป็นจุดเด่น 

 

เหล่าดีเจมักนำแผ่นเสียงไวนิลเปิดในไนท์คลับ และได้เกิดการทำเพลงรีมิกซ์ (Remix) ขึ้นเป็นครั้งแรก จนทำให้ออกเพลงเวอร์ชันรีมิกซ์ออกมาเพื่อเพิ่มยอดขายและให้ดีเจสามารถนำเพลงไปเปิดในไนท์คลับได้เลย ด้วยความยาวเฉลี่ย 10-12 นาที ขณะที่เพลงปรกติมีความยาวเพิ่มขึ้นเป็น 3-5 นาที โดยเพลงที่มีความยาวเกินกว่านี้จะถูกตัดทอนให้สั้นลงเพื่อให้สามารถเปิดในสถานีวิทยุได้ โดยเรียกว่าเวอร์ชัน “Radio Edit” หรือ “Single Version

 

  • ยุค 2000

ถัดมา เมื่อเข้าสู่ยุค 2000 แผ่นซีดี (Compact Disc) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญทั้งในวงการเพลงและภาพยนตร์ จากข้อมูลของสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐ หรือ อาร์ไอเอเอ (The Recording Industry Association of America: RIAA) ระบุว่าในปี 2543 เป็นปีที่แผ่นซีดีสามารถทำยอดขายในสหรัฐสูงที่สุด ด้วยจำนวนกว่า 942 ล้านแผ่น คิดเป็นมูลค่ากว่า 13,200 ล้านดอลลาร์ ในแต่ละอัลบั้มมักจะมีเพลงประมาณ 10-12 เพลง แม้แผ่นซีดีเพลงสามารถบันทึกเสียงไว้ประมาณ 74-80 นาที แต่ความยาวเฉลี่ยของแต่ละอัลบั้มอยู่ที่ประมาณ 30-50 นาที นั่นเท่ากับว่าแต่ละเพลงมีความยาวเฉลี่ยประมาณ 3-4 นาที

ขณะที่ แผ่นดีวีดี (DVD-Video) พัฒนาจากแผ่นวีซีดี (VCD) ได้เข้ามาสื่อหลักในอุตสาหกรรมบันเทิงภายในบ้าน ด้วยความจุประมาณ 240 นาที จึงทำให้สตูดิโอภาพยนตร์สามารถสร้างภาพยนตร์ได้นานขึ้น 90-150 นาที ส่วนที่เหลือมักจะใส่คอนเทนต์พิเศษ (Extra features) ลงไปในแผ่น เช่น ฉากที่ถูกตัดออกจากภาพยนตร์ สัมภาษณ์นักแสดงและผู้กำกับ สารคดีสั้นการสร้างภาพยนตร์ สตอรีบอร์ดของภาพยนตร์ หรือตัวอย่างภาพยนตร์ฉบับพิเศษ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมหันมาซื้อแผ่นดีวีดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวถูกใช้มาจนถึงยุคของแผ่นบลูเรย์ (Blu-ray)

ด้วยความคุ้นชินของผู้คนตลอด 20-30 ปีที่ผ่านมา ทำให้ความยาวของภาพยนตร์และเพลงในยุคนี้ถูกตั้งเป็นค่ามาตรฐานของความยาวในสื่อบันเทิง หลายคนจึงรู้สึกว่าเพลงในปัจจุบันสั้นลง ขณะที่ภาพยนตร์กลับยาวขึ้น 

 

  • ยุคปัจจุบัน

ในปัจจุบัน สตรีมมิงเป็นปัจจัยหลักที่สร้างผลกระทบต่อวงการเพลงและวงการภาพยนตร์ เนื่องจากสตรีมมิงทำให้ผู้ชมสามารถรับชมภาพยนตร์เมื่อไหร่ก็ได้ และจะหยุดพักกี่รอบก็ได้ ความยาวของภาพยนตร์จึงไม่มีผลอีกต่อไป และยิ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้สตูดิโอภาพยนตร์หลายแห่งเลือกจะเข้าฉายภาพยนตร์ในสตรีมมิงต่าง ๆ เวลาไล่เลี่ย หรือพร้อมกับการฉายในโรงภาพยนตร์

นอกจากนี้ ระยะเวลาการเล่าเรื่องเพียง 2 ชั่วโมง อาจไม่เพียงพอกับภาพยนตร์ในยุคนี้เนื่องจาก คนดูเริ่มจับทางการเล่าเรื่องได้แล้ว ขณะเดียวกัน การเข้ามาของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่มักมีการสร้างภาคต่อและเชื่อมกับภาพยนตร์เรื่องอื่น ย่อมทำให้ต้องใช้เวลาในการเล่าเรื่องมากยิ่งขึ้น

ส่วนวงการเพลง ระบบสตรีมมิงกลายเป็นรายได้หลักของศิลปิน คิดเป็น 79% ของรายได้ทั้งหมดของศิลปินในปี 2563 โดยบริการสตรีมมิงจะให้จ่ายเงินให้ศิลปินเป็นเงินประมาณ 0.00331-0.00437 ดอลลาร์ต่อการฟังเพลง 1 ครั้ง ดังนั้นศิลปินจึงนิยมทำเพลงให้สั้นลง เพื่อทำให้ผู้ฟังกดเล่นเพลงซ้ำได้บ่อยขึ้น เมื่อผู้ฟังฟังเพลงบ่อยครั้ง ก็จะทำให้ศิลปินได้เงินเพิ่มมากยิ่งขึ้น

อีกทั้ง หลักการจ่ายเงินของแพลตฟอร์มสตรีมมิงออนไลน์ต่าง ๆ จะจ่ายเงินก็ต่อเมื่อมีการฟังต่อเนื่องมากกว่า 30 วินาที จึงทำให้ศิลปินต้องทำเพลงที่สั้นและติดหูในแทบจะทันที ก่อนที่ผู้ฟังจะกดเปลี่ยนเพลงหนี จากการศึกษาของซัมซุง ร่วมกับ The Future Laboratory พบว่า ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ความสนใจในการฟังเพลงของผู้ฟังเพลงลดลงเหลือเพียงแค่ 8 วินาทีเท่านั้น 

ไม่เพียงแต่สตรีมมิงเท่านั้นที่มีผลต่อวงการเพลง TikTok เองก็มีผลด้วยเช่นกัน ศิลปินต้องตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากเพลง เช่น อินโทร หรือท่อนโซโล เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำเพลงของพวกเขาไปใช้ใน TikTok ได้ โดยไม่ต้องเลื่อนหาว่าจะเลือกท่อนไหนดี และกลายเป็นไวรัลได้ง่ายขึ้น

แม้จะมีเสียงบ่นจากผู้ชมว่าภาพยนตร์ยาวไปบ้าง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ส่งผลอะไรมาก เห็นได้จากภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล 5 อันดับแรกล้วนมีความยาวมากกว่า 2 ชั่วโมงทั้งสิ้น ขณะที่ภาพยนตร์ที่ชนะรางวัลออสการ์มากที่สุดอย่าง “ไททานิค” ที่กวาดไป 11 รางวัล จากการเข้าชิงทั้งหมด 14 รางวัล มีความยาวถึง 3 ชั่วโมง 14 นาที

 

เช่นเดียวกับวงการเพลง ทุกเพลงใน “30” อัลบั้มล่าสุดของ “อเดล” (Adele) มีความยาวมากกว่า 3 นาที แต่ก็ยังทำยอดขายไปกว่า 1.5 ล้านแผ่นในสหรัฐเป็นที่เรียบร้อย นับเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดตั้งแต่ปี 2561

ส่วน "All Too Well (10 Minute Version) (Taylor’s Version) (From The Vault)" ของ “เทย์เลอร์ สวิฟต์” (Taylor Swift) ที่ปล่อยออกมาเมื่อปีที่แล้ว ได้สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นเพลงที่ยาวที่สุดที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด ฮอต 100 ด้วยความยาว 10 นาที 13 วินาที

 

ดังนั้น ระยะความสั้นหรือยาว อาจไม่ใช่ตัวชี้วัดถึงคุณภาพของทั้งภาพยนตร์และเพลงเหล่านั้นเลยก็เป็นได้ ตราบใดที่เพลงหรือภาพยนตร์นั้น ๆ ดี มีคุณค่า ให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้คนได้ ผู้คนก็พร้อมยินดีที่จะเสพผลงานเหล่านั้นไม่ว่าจะสั้นหรือยาว

ไขข้อสงสัย สื่อบันเทิง \"ยุคสตรีมมิง\" เพลงสั้น แต่หนังยาว กราฟิก: วราภรณ์ คำสม